เช้าวันที่ ๗ ก.พ. ๕๖ ผมไปถึงโรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส ๗น. ก่อนเวลาเริ่มหลักสูตรธรรมาภิบาลเพื่อการพัฒนาอุดมศึกษาถึง ๒ ชั่วโมง จึงมีโอกาสไปนั่งที่ล็อบบี้อ่านหนังสือทำงาน และสังเกตชีวิตผู้คน
มีนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันจำนวนมากมานั่งรอออกไปทัวร์ ทำให้ผมนึกถึงสมัยผมหนุ่มๆ เกือบ ๕๐ ปีมาแล้ว คนอเมริกันมาเที่ยวประเทศไทยมากจริงๆ มาเป็นคณะๆใหญ่ๆ แล้วต่อมานักท่องเที่ยวอเมริกันหายไป มีญี่ปุ่นมาแทน ตอนนี้เศรษฐกิจอเมริกันไม่ดี แต่ผมเดาว่าผู้สูงอายุอเมริกันฐานะดี และคงจะออกท่องเที่ยวกันมากอย่างที่ผมเห็นในวันนี้
ที่เตะตามากคือผู้สูงอายุเหล่านี้อ้วนถึงอ้วนมาก ตามที่เห็นร้อยละ ๙๐ น้ำหนักเกิน ร้อยละ ๖๐ เป็นโรคอ้วน แสดงว่าวิถีชีวิตไม่ดี โดยเฉพาะอาหารการกินและการออกกำลังกาย
ทำให้นึกถึงการเปลี่ยนกระบวนทัศน์เรื่องชีวิตที่ดี สมัยก่อนโลกเราขาดแคลนไปทุกอย่าง (ยกเว้นน้ำใจ) สภาพ “ มีกินมีใช้ ” จึงจำเป็นมาก เดี๋ยวนี้โลกมีมากเกินไปทุกอย่าง (ยกเว้นน้ำใจ) ทักษะสำคัญของคนยุคนี้คือ “รู้จักกินรู้จักใช้” อย่าตามใจอยาก เพราะมันเสียสุขภาพ
จึงกลับมาที่ความพอดีทางสายกลาง
สภาพสังคมโดยรอบจะเป็นอย่างไร เราต้องฝึกฝนตนเองไม่ให้โดนพิษของมัน เหมือน“มะพร้าวนาฬิเกร์ ต้นเดียวโนเน อยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกก็ไม่ต้อง ฟ้าร้องก็ไม่ถึง อยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง คงถึงสักวัน....เอย”
หรือเหมือนลิ้นงู อยู่ในปากงูโดยไม่โดยเขี้ยวงู
กิเลสพื้นๆ คือเรื่องการกินยังเอาชนะยาก เรื่องการขยันออกกำลังกาย ขยันฝึกจิตภาวนาเรายังทำไม่ได้ เราจึงอ้วน ร่างกายไม่แข็งแรง จิตใจไม่มั่นคงอ่อนโยน ทั้งๆที่เรารู้ว่าร่างกายแข็งแรงและจิตใจมั่นคงเป็นพื้นฐานของชีวิตที่ดี
แปลกจริงๆ คนเรารู้ว่าปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะมีชีวิตที่ดี แต่บังคับใจตัวเองไม่ได้
แต่นั่นคิดแบบมองเป็นคนๆ ผมคิดว่าต้องแก้ไขที่ระบบการบริโภคอาหาร และวิถีชีวิตหรือลีลาชีวิต (lifestyle) ของผู้คนในสังคมด้วย คือเน้นที่ระบบการสร้างเสริมสุขภาพ เรื่องนี้สังคมไทยเราน่าจะดีกว่าสังคมอเมริกัน
วิจารณ์ พานิช
๗ ก.พ. ๕๖
ไม่มีความเห็น