อ่านพบมาจากหน้าเฟซบุ๊ค คุณเอก จตุพร
สั้นง่ายและกินใจจึงขอนำมาเผยแพร่ต่อค่ะ
ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดีคนหนึ่งจำเป็นต้องรอเวลาถึงสามชั่วโมง ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือหนึ่งเล่มและคุ้กกี้หนึ่งห่อ และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกินฆ่าเวลาไปพลาง ๆ
เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้หนึ่งแห่ง เธอสังเกตเห็นว่าข้างๆเธอมีชายหนุ่มซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา
สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุ๊กกี้ออกจากถุงซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันอย่างละชิ้น เธอมองด้วยความโกรธ แต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ
เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุ้กกี้และเฝ้ามองนาฬิกา ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอายกำลังกินมันให้หมดสิ้นไป เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า
"ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการศึกษาแล้วละก็ ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย"
ทุกครั้งที่เธอหยิบกินหนึ่งชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกินหนึ่งชิ้น
ทั้งสองส่งสายตามองกัน เมื่อคุ้กกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร
ชายหนุ่มค่อย ๆ หยิบคุ้กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็นสองชิ้น ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น
เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า
"เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดๆช่างไร้การศึกษา ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ"
เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม
ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่อย่างสบายแล้ว เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ้กกี้หนึ่งห่อ
เธอตกใจมาก
ถ้าคุ้กกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า
คุ้กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน
เธอลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า
มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม
ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอนั่นเองที่ไร้มารยาท เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง
มีกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริงมันเป็นการเข้าใจผิด
มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น และทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากมาย
นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนตัดสินผู้อื่นหลาย ๆสิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี แล้วคอยสังสัยตัวเองว่า
"เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง"
"เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือไม่"
ขอขอบคุณ
จงอย่าถามว่าโลกให้อะไรแก่่เรา แต่จงถามว่าเราให้อะไรแก่โลกบ้าง คลับคล้ายคลับคลา จำมาจากไหนก็ไม่รู้ค่ะ
ไม่ตัดสินใคร .. ด้วยอารมณ์ค่ะ
ขอบคุณนะครับกับเรื่องราวที่น่าครุ่นคิดมากครับ
คุ้นๆว่าเคยอ่านจากที่ใดที่หนึ่งมาก่อน แต่ อ่านแล้วก็ทำให้ย้อนถามตัวเองว่า"เราแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือยัง"