ข้าวต้มกุ๊ย


หมออนามัย ข้าวต้มกุ๊ย g0toknow

                                                                        ข้าวต้มกุ๊ย

                                                    นายอานนท์ ภาคมาลี (หมอแดง)

เมื่อใดที่มีภารกิจ ต้องทำจนดึกดื่น ค่อนคืน ล่วงสี่ทุ่ม ห้า ทุ่ม สองยามข้ามวันใหม่ ก่อนจะกลับไปหลับพักผ่อน ส่วนใหญ่ใครต่อใครมักหาอะไรเอาใจกระเพาะน้อยๆ มิเช่นนั้นคงหลับไม่เป็นสุขลุกไม่สะดวกแน่ หนึ่งในเมนูของอาหารก่อนนอนยอดนิยม เรามักนึกถึงโจ๊ก หรือไม่ก็ ข้าวต้มกุ๊ย คนส่วนใหญ่ทราบดีว่า ข้าวต้มกุ๊ย ข้าวขาวเมล็ดสวย ในน้ำใส-น้ำข้น เป็นที่นิยมรับประทานมานานนักแล้ว และพบทั่วไป ไม่ว่าจะมุมใดของโลก ทั้งยังหลงผิดคิดว่าเป็นสิ่งที่คู่กันมากับอาหารจีน แต่แท้จริงแล้ว ข้าวต้มกุ๊ย มีต้นกำเนิดเกิดขึ้นที่ สยามประเทศ นี้เองนั่นไง นึกแล้วว่าหลายคนต้องสงสัย ว่าจะเป็นไปได้อย่างไร แต่ผู้เขียน ขอ-บอกว่า เป็นไปได้ และเป็นมานานราวหนึ่งศตวรรษ หาใช่หลายวันพันปี ดังที่หลายคนเคยเข้าใจ ถ้าอยากรู้ก็ลองเปิดใจ ทำตัวตามสบาย แล้วพบคำตอบของที่มาที่ไปได้ ในบรรทัดถัดจากนี้ ก่อนอื่นต้องบอกว่า จุดเริ่มต้นของเรื่องอาจดูเหมือนไม่เกี่ยวเนื่องกับจุดสรุป เพราะหลายคนคงฟังดูแปลก หากบอกว่า กำเนิดของ "ข้าวต้มกุ๊ย" กับ "วงการภาพยนตร์ไทย" เป็นจุดร่วมกำเนิดของตำนานนี้

จากการศึกษาค้นคว้า ของมหาวิทยาลัยเยลลี่ และ มหาวิทยาลัยคิงส์คอลาเจน พบว่า พัฒนาการของวงการภาพยนตร์ มีมาตั้งแต่ราวปลายศตวรรษที่ 18-19 ในยุโรปและแพร่ขยายทั่วไป รวมทั้งการนำเข้ามาในประเทศไทยราว 100 ปีเศษ ซึ่งขณะนั้นเป็นการนำเข้ามาของราชคันตุกะชาวตะวันตก นำมาฉายถวายในพระราชสำนัก จนต่อมาระยะหนึ่งประชาชนทั่วไปจึงมีโอกาสได้ชม และถือเป็นมโหรสพที่แปลกใหม่ในสมัยนั้นต่อมาชาวอเมริกันได้ทดลองถ่ายทำภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกคือ นางสาวสุวรรณ โดยเป็นภาพยนตร์ขาว-ดำไม่มีเสียงหรือที่เรียกว่าหนังเงียบและได้มีการถ่ายทอดวิชาการถ่ายทำ ภาพยนตร์จนคนไทยเริ่มสร้างภาพยนตร์ไทยได้เองพร้อมๆกับการเกิดอาชีพนักแสดงไทยขึ้น
ในยุคแรกของภาพยนตร์ไทย ได้รับความสนับสนุนด้วยดีจากผู้สร้าง-ผู้กำกับชาวตะวันตก และมีการถ่ายทอดศิลปะการแสดงจากนักแสดงฮอลลีวูดให้กับนักแสดงไทย ทำให้เกิดความสนิทสนมกันระหว่างนักแสดงทั้ง 2 ชาตินักแสดงไทยในยุคแรกนั้น น้อยคนนักที่ไม่รู้จัก หลวงบุรีบาล และ คุณฉิม นฤดลมนตรี
2 สามีภรรยา ซึ่งเป็นคุณข้าหลวงฯ และเป็นนักแสดงยอดนิยมในยุคแรก อีกทั้งยังสนิทสนมกลมเกลียว กับครอบครัวนักแสดงฮอลลีวูดยอดนิยมในยุคนั้น คือ นายทอม ครุยส์ อี. เมเจอร์ กับนางซาร่า ครุยส์ อี. เมเจอร์ (จากหลักฐานกรมสรรพากรสหรัฐอเมริกา แจ้งว่า นายทอม ครุยส์ อี.เมเจอร์ เป็นปู่ทวด ของ ทอม ครุยส์ นักแสดงยอดนิยมที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน) ทั้งสองครอบครัวไปมาหาสู่กันสม่ำเสมอ จากแรกนั้น เพราะต้องติดตามผู้กำกับชาวอเมริกัน อันเนื่องมาจากเรื่องงาน แต่ในภายหลัง ครอบครัวเพื่อนชาวอเมริกัน ดั้นด้นมาสยาม ก็เพราะความสนิทสนมส่วนตัว และชื่นชอบสถานที่ท่องเที่ยวของไทย ที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ถูกปากกับอาหารไทยรสมือคุณฉิม ด้วยเหตุนี้คราใดที่ต้องต้อนรับครอบครัวทอม ครุยส์ ฝ่ายสยามจะทำอาหารรสชาติชนิดถึงลูกถึงคนคอยเลี้ยงรับรองเสมอ กระทั่งปลายฝน ต้นหนาว ปีที่ 5 ในความสนิทสนมกลมเกลียว ของ 2 ครอบครัว--ครอบครัวของหลวงบุรีบาลก็ได้มีโอกาสต้อนรับครอบครัว ทอม ครุยส์ อีกคำรบการมาเยือนครั้งนั้น อาหารเย็นวันแรก คุณฉิมก็ได้ทำอาหารที่นายและนางทอม ครุยส์ ชื่นชอบเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็น แกงส้มปลาช่อนตัวผู้ ใส่ผักกระเฉดสวนสามพราน ไข่ตุ๋นวุ้นกะทิ น้ำพริกกะปิศรีราชา ปลาร้าหลนทรงเครื่อง แกงจืดมะระตุ๋นกระดูกหมูมะนาวดองเมืองเพชร และที่ขาดเสียไม่ได้ เพราะหากลืมเป็นงอน คือ ต้มยำกุ้ง ทานกับข้าวสวยหอมมะลิ หุงหม้อดินหกโมงเย็น เป็นเวลาอาหาร ทุกอย่างขึ้นโต๊ะรอรับประทาน... 2 สามีภรรยาผู้มาเยือนดีใจจนน้ำลายไหลสามหยด เมื่อทราบถึงเมนูมื้อนี้ ครั้นนั่งลงพร้อมจะรับประทานอาหารที่ตรงหน้า  บรรยากาศการรับประทานของ 2 ครอบครัวมีทีท่าว่าจะเต็มไปด้วยรสชาติและไมตรีอันดี ทว่าเพียงคำแรกที่ ทอม ครุยส์ ตักข้าวเข้าปาก-เคี้ยว ก็สะดุด หยุดนิ่ง มองซ้าย-ขวา เหมือนว่ามีปัญหาใช่ อาหารมื้อนั้นมีปัญหา เพราะข้าวสวยร้อนๆ ก่อนนั้นเคยทานแต่ข้าวหอมมะลิ หอมๆ นุ่มๆ แต่ครั้งนี้ทำไม กรุบๆ ไม่หนุบหนับรับรสกับ กับข้าวที่อร่อยเอร็ด ปัญหาอยู่ที่ข้าว ข้าวแข็ง ที่แข็งเพราะข้าวสุกแต่ยังไม่แตกเมล็ดดีข้าวที่เคี้ยวจึงเป็นปัญหา
ทุกคนบนโต๊ะอาหาร ต่างเห็นอาการที่เดาไม่ถูกของ ทอม ครุยส์ และรอว่าจะพูดอะไร ครั้นหลวงบุรีบาลถามถึงรสชาติ อีกฝ่ายก็บอกว่าอร่อย ขณะที่ทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างก็รู้สึกเช่นเดียวกันว่า ข้าวแข็ง
ทอม ครุยส์ มองซ้าย แล ขวา คล้ายว่าจะหาอะไรสักอย่าง แล้วก็เหลือบไปเห็นกาต้มน้ำในครัว ซึ่งควันกำลังพวยพุ่ง เดือดพล่าน ก่อนที่คุณฉิมจะเอ่ยปากถามว่าต้องการอะไร ทอม ก็ถือจานข้าว ลุกขึ้นไปที่ครัว และยกกาน้ำร้อนรินน้ำเติมลงในจานนั้น ทุกคนมองหน้ากันอย่าง งวย-งง ทอม เดินกลับมาที่โต๊ะ วางจาน แล้วคนน้ำร้อนให้เข้ากันกับข้าวสวย และยิ้มให้กับทุกคน แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงครู่ก็ตักข้าวสวยในน้ำร้อนใส่ปาก-เคี้ยวแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปพร้อมอุทานแปลเป็นไทยได้ว่า ยอดเยี่ยม นุ๊มมมมนุ่ม อร๊อยยยย อร่อย อร่อยลิ้นจริงๆ แล้วก็ชวนทุกคนลองทานข้าวสวยในน้ำร้อน ซึ่งก่อนนี้เมล็ดข้าวจะแข็ง แต่ตอนนี้ ข้าวนุ่ม นุ่ม นุ่มลงจริงๆ คุณฉิมจึงนำน้ำร้อนมาเติมในข้าวให้กับทุกคน และทานอาหารมื้อนั้นกันชนิดรื่นเริงบันเทิงลิ้น

แล้วอาหารมื้อต่อมา ไม่ว่ากับข้าวจะเป็นอะไร แต่ข้าวที่ทานจะเป็นข้าวสวยในน้ำร้อนทุกมื้อ กระทั่งเพื่อนชาวอเมริกันกลับไป

จากวันนั้น ครอบครัวหลวงบุรีบาลก็จะทำข้าวประเภทนี้ ที่เพิ่งค้นพบโดยทอม ครุยส์ ทานทุกวัน ทั้งยังแนะนำไปยังเพื่อนบ้านใกล้เคียง และมีการบอกสูตรข้าวนี้แบบปากต่อปาก ไปถึงไหนต่อไหน กระทั่งไปถึงหูผู้บริหารสำนักงานโคสนาการ (เดิมเขียนแบบนี้ และหมายถึงกรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน) จึงเชิญครอบครัวของหลวงบุรีบาลมาให้สัมภาษณ์ทางรายการวิทยุกระจายเสียงฯ ถึงสูตรและความเป็นมาของข้าวประเภทนี้ที่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกที่บ้านหลวงอภิบาลและเป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างรวดเร็ว จากบางกอก แล้วแผ่ไปยังหัวเมืองใกล้ๆ


ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนั้น หลวงอภิบาลได้หารือกับศรีภรรยา และได้ข้อสรุปว่า ควรตั้งชื่อข้าวชนิดนี้ โดยให้เกียรติแก่ผู้คิดค้นนั่นคือ นายทอม ครุยส์ อี. เมเจอร์ จึงตกลงให้ชื่อข้าวชนิดนี้ว่า ข้าวทอมครุยส์ แต่นั้นมา

จากการออกอากาศรายการวิทยุ พร้อมเปิดเผยสูตรง่ายๆ ในวันนั้น ก็เกิดความนิยมข้าวชนิดนี้ แพร่หลายไปทั่วประเทศ และยังมีคนไทยนำไปเผยแพร่ยังต่างประเทศ ด้วยระยะเวลาอันยาวนานได้เกิดพัฒนาการของข้าว ทอม ครุยส์ ไปหลายรูปแบบ เช่น นำข้าวสวยมาต้มกับน้ำร้อนโดยตรง บ้างก็นำใบเตย 1 มัด ใส่ในน้ำร้อนต้มไปด้วย เพื่อเพิ่มความหอม บ้างก็ใส่เกลือเล็กน้อย บ้างก็ใช้วิธีต้มข้าวสารจนกลายเป็นข้าวทอม ครุยส์ บ้างก็หั่นเผือกดิบเป็นลูกเต๋าเล็กๆ และใส่ลูกเดือยลงไปพร้อม

บางรายเอาดีในทางนี้ ก็เปิดร้านขายอาหาร และมีการประชาสัมพันธ์เชิญชวนลูกค้า ด้วยป้ายข้อความ ร้านนี้มีข้าวทอมครุยส์จนขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเททิ้งเอ๊ยเทท่า ในช่วงหลัง ได้มีการพัฒนาเรื่องกับ ที่ทานกับข้าว ทอม ครุยส์ โดย เน้นไปที่ของแห้ง ที่นำมาทอด หรือยำ ไม่ว่าจะเป็น กุ้งแห้ง ปลาหมึกกล้วย ไข่เค็ม ผักกาดดอง ผัดหัวผักกาดใส่ไข่ ผัดผักบุ้ง-ผัดผักกระเฉดไฟแดง เป็นอาทิกาลเวลาล่วงผ่านนานวัน การรับประทาน ข้าวทอม ครุยส์ เป็นที่นิยมไม่หยุดยั้ง ทั้งใน และต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ทางตอนเหนือ ซึ่งอากาศค่อนข้างเย็นเกือบตลอดปี เมื่อได้ทานข้าวชนิดนี้ ก็ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นดีนักแล โดยเรียกข้าวชนิดนี้ว่าโจวตามความเข้าใจว่ามาจากข้าวสวยต้มในน้ำร้อน สำหรับประเทศไทย เมื่อเวลาทอดยาวนานไปชื่อเรียกแรกเริ่มแต่เดิมนั้นก็เปลี่ยนเพี้ยนไปหลายๆชื่อเช่น ข้าวทอมครุยส์...ข้าวหอมฉุย...ข้าวต๋อมตุ๊ย...ข้าวทอมคุ๊ย...ข้าวหอมวุ๊ย...ข้าวต้อมครุยส์...ข้าวต้อมกึ๋ยส์...ข้าวต้มกึ๊ยส์...ข้าวต้อมกุ่ย...ข้าวต้มกุ่ย...ข้าวต้มกุ้ย.จนมาเป็นข้าวต้มกุ๊ยในที่สุด ข้าวต้มกุ๊ย กลายเป็นชื่อเรียกติดปากในปัจจุบัน และเป็นที่นิยมทั่วโลก โดยมีเพียงคนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่ทราบความจริงว่า ข้าวต้มกุ๊ย มีถิ่นกำเนิดเกิดที่ บางกอก ณ สยามประเทศ เมื่อราวหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการค้นพบโดยบังเอิญ ของ อดีตนักแสดงฮอลลีวู้ด ยุคบุกเบิก ชื่อ ทอม ครุยส์ อี.เมเจอร์เมื่อคราวมาเยือนเพื่อนนักแสดงชาวสยาม แม้แต่ ทอม ครุยส์ นักแสดงฮอลลีวูดยุคปัจจุบัน อาจจะไม่เคยทราบความจริงมาก่อนว่า แท้จริงแล้ว มิสเตอร์ ทอม ครุยส์ อี.เมเจอร์ ปู่ทวดของเขา เป็นผู้ให้กำเนิด ข้าวต้มกุ๊ย

หมายเหตุขอรับรองว่าเรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นความจริงเฉพาะ
1.ภาพยนตร์ในประเทศไทยมีกำเนิดครั้งแรกเมื่อ 1 ศตวรรษที่ผ่านมา (พ.ศ.2440) ในรัชสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5

2.นางสาวสุวรรณ (suvarna of Siam) เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรก อำนวยการสร้าง เขียนบท และถ่ายทำโดย มร.เฮนรี แมคเรย์ อำนวยการ สนับสนุนโดยกรมมหหรสพ และกรมรถไฟหลวงเมื่อปี 2465 ออกฉาย 23 มิ.ย. 2466 จัดจำหน่ายโดย บริษัท ยูนิเวอร์แซล (รัชกาลที่ 6)

3.ผู้แสดงในหนังเรื่องนี้ได้แก่ นางสาวเสงี่ยม นาวีเสถียร นางรำในกรมมหรสพหลวง แสดงเป็น นางสาวสุวรรณ ขุมรามภรตศาสตร์ (ยม มงคลนัฎ) ตัวโขนพระรามของกรมศิลปากร แสดงเป็น นายกล้าหาญ ตัวพระเอก และหลวงภรตกรรรมโกศล (มงคล สุมนนัฎ) สมุหบาญชี แสดงเป็น นายก่องแก้ว ซึ่งเป็นตัวโกง
4.ภาพยนตร์ยุคแรกเป็นขาว-ดำและไม่มีเสียงเรียกว่าหนังเงียบ
5.กรมมหรสพ คือ กรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน ส่วนงานวิทยุกระจายเสียงเรียกว่า สำนักงานโคสนาการ
6.ประเทศไทยเปลี่ยนชื่อมาจากสยาม ยังไม่ถึงร้อยปี โดยถูกเปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2482 ในสมัยรัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงคราม
7.ข้าวต้มกุ๊ย ภาษาจีนกลางเรียกว่า โจว

8.ดาราฮอลลีวูดที่อ้างถึงเรียกได้ทั้งทอมครุยซ์และทอมครูซ

9.ประเด็นอื่นๆ ขอรับรองว่าเป็นความ ไม่จริงแทบทุกประการ

ประเด็นอื่นๆ ที่เป็นเรื่องจริง และควรทราบ

1.ข้าวต้มกุ๊ยแรกเริ่มเรียกกันว่า ข้าวต้มพลุ้ย โดยเรียกจากอากัปกริยา เวลาคนจีนกิน มักจะนั่งยองๆ แล้วใช้ตะเกียบพลุ้ยข้าวเข้าปาก

2.จับกัง แต่เดิมเรียกว่า กุ๊ย ด้วยรายได้ไม่มาก จึงทานอาหารง่ายๆ ราคาถูก เช่น ไข่เค็มหนึ่งซีก กับข้าวต้มเต็มถ้วยก็อิ่มท้อง และราคาเบา (ไม่กี่สตางค์ / เมื่อราว 50 ปีก่อน)

3.ในช่วงก่อสร้างถนนแถวราชดำเนิน และถนนเลียบคลองหลอด มีการเกณฑ์แรงงานคนจีนที่เข้ามาเมืองไทย และทำงานโดยใช้แรงงานมารับจ้าง หัวหน้าที่คุมงานแสนแล้งน้ำใจ นำค่าจ้างที่ได้จากการรับเหมามาจัดสรรเลี้ยงข้าว กุ๊ย ด้วยข้าวต้ม ส่วนกับมักจะผัดก้อนกรวดกับเกลือให้คนงานได้อมเพื่อแกล้มกับข้าว นานๆ ครั้งจึงจะมีผัดผักกาดดองบ้าง หรือเต้าหู้ยี้ ให้กินแกล้ม เป็นเช่นนี้จนกระทั่งงานก่อสร้างถนนแล้วเสร็จ
นับแต่นั้น จึงเรียกข้าวต้มขาวๆ ในน้ำใสบ้าง ข้นบ้าง นี้ว่า ข้าวต้มกุ๊ย
และต่อมา ได้มีการพัฒนาเรื่องกับข้าวที่ทานคู่กัน พร้อมความนิยมที่กว้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนจีนก็นิยมกิน บ้างก็ยกชั้นเมนูนี้ถึงระดับอาหารเหลา ดังที่เราพบในปัจจุบัน


หมายเลขบันทึก: 521466เขียนเมื่อ 5 มีนาคม 2013 19:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มีนาคม 2013 20:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท