หญ้าเนเปียร์ …ละครตลกปนเศร้าเรื่องใหม่ในเวทีน้ำเน่าพลังงานไทย? (ตอน ๒)
ผม (ตัวละครหนึ่ง) ในฐานะวิศวกรด๊อกเตอร์รากหญ้าได้ฟันธงไปแล้วว่า หญ้าเนเปียร์ที่กำลังเห่อกันหนักหนาจนนักการเมืองทุ่มงบไม่อั้น จะเป็นละครโศกฉากใหม่ของรากหญ้าไทย
วันนี้สำรวมสติ สงบอารมณ์ ใช้สมองให้มากขึ้น ได้ไปสำรวจข้อมูลมากหลายจากศูนย์วิจัยทั่วโลก พบว่า หญ้าเนฯ มีมวล”แห้ง” (ไม่นับน้ำที่มีมากถึง ๘๐%) เฉลี่ยที่ ๑๐ ตันต่อไร่ต่อปี ....ถือว่ามากทีเดียว ในขณะที่ยูคาแม้ปลูกทิ้งๆ ขว้างๆ โดยชาวไร่ไทยก็ได้ มวลแห้งที่ ๕ ตันต่อไร่ปี
แต่ช้าก่อน....มวลแห้งหญ้าเนฯ ที่ว่านั้น รับรองได้ว่า ปลูกที่ศูนย์วิจัยที่ควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดของนักวิชาการ หรือไม่ก็ในไร่ของชาวบ้าน แต่เป็นชาวบ้านชั้นสูง ที่เรียนรู้จรดจ่อวิชาการมาตลอด หรือไม่ก็ชาวบ้านที่ “หัวหมอ” หากินร่วมกับนักวิชาการนั่นแหละ เพื่อทำแปลงสาธิต เพื่อที่จะแหกตาประชาชนให้ตื่นเต้น จากนั้นก็หากินด้วยการขายหน่อพันธุ์ ....เรียกไำด้ว่าปลูกใน controlled environment
รายงานฝรั่งให้ผลผลิตต่างกันมากเช่น บางคนได้ 1 ตัน บางคนได้ 10 ตัน สุดแล้วแต่ระดับความข้น แต่อนิจจาส่วนใหญ่นักวิชาการเมืองไทยไปจับเอาแต่จุดดีที่สุดมานำเสนอ จนเว่อไป ๕ เท่า แล้วเอาไปของบจากภาษีราษฎรมาล้างผลาญ (หลังจากไปดูงาน+ท่องเที่ยวกันสนุกสนาน)
พอซื้อท่อนพันธุ์/เมล็ดพันธุ์ เอาไปปลูกจริงตามประสาชาวบ้านธรรมดา ดูแลปานกลาง ไม่เป๊ะๆ แบบศูนย์วิจัย ... ผลคือได้ผลผลิตลดลงสองเท่า .....(เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาจนหูชาไหม) ........ แต่ถ้าปลูกแบบทิ้งขว้าง (เทวดาเลี้ยงเหมือนยูคา) ผลผลิตลดลงสามสี่เท่า ..สุดท้ายเจ๊ง ขายที่ดินไปเป็นลูกจ้างเขาในเมืองดีกว่า
เอาหละ หากปลูกหญ้าเนฯให้ดีๆแบบศูนย์วิจัย น่าได้ผลมากว่ายูคา ๒ เท่า แต่ถามว่าคุ้มไหม เพราะใน ๕ ปีต้องลงแรง ( ค่าจ้าง เวลา) เก็บเกี่ยวปีละ ๕ ครั้ง รวมเป็น ๒๕ ครั้ง ระหว่างนั้นต้องทำหญ้า ใส่ปุ๋ยรวมทั้งอาจต้องฉีดยาฆ่าแมลงด้วย ในขณะที่ถ้าปลูกยูคาเก็บเกี่ยวครั้งเดียว ไม่ต้องทำหญ้า ฉีดพ่นยาอะไรเลย เวลาที่เหลือ นอนเล่น หรือไปหางานเสริมทำ
...คนถางทาง (๑๒ กพ. ๒๕๕๖)
ปล. ยังมีต่อ ...หากสนใจโปรดติดตามอ่านตอนต่อไป
วันนี้อ่านข่าว ครม.อนุมัติ 10,000 ล้านบาท สร้างกังหันลมที่โคราช