คนไทยทุกคนรักในหลวง เรามาช่วยกันทำความดี รู้รักสามัคคี
ถวายแด่ในหลวง
ชาวต่างชาติหลายท่านชื่นชมในพระปรีชาของพระมหากษัตริย์ไทย
ในหลวงของเราเป็นพระมหากษัตริย์ที่ไม่มีความวิริยะอุตสาหะ
ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับประชาชนของท่านให้ได้อยู่ดีมีสุข
อย่างที่ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดหรือราชวงศ์ใด
ที่จะทุ่มเททั้งพระวรกายเสียสละเพื่อประชาชนเช่นนี้ ทำให้ในหลวงของเราเป็น iDol
ของชาวต่างชาติมากมายหลายท่าน
จนออกมาแสดงถึงความรักและเคารพในพระจริยวัตรของพระองค์
ชาวต่างชาติต่างสรรเสริญในหลวงของไทย
วาดภาพผ่านสื่อถวาย(ให้คนทั้งโลกได้เห็นพระจริยวัตรอันงดงามของพระองค์)
ขี่จักรยานรอบโลกถวายให้พระองค์(ให้คนทั้งโลกได้รู้ความดีของพระองค์ท่าน)
เขียนหนังสือเรียบเรียงอัตชีวประวัติของพระองค์เผยแพร่
ฯ
เราได้อ่านบทความบทหนึ่ง รู้สึกสะท้อนใจมาก
จึงนำมาให้อ่าน
ในบรรดาสายตาแห่งความชื่นชมของชาวโลกที่มีต่อพระองค์
สายตาคู่หนึ่งในจำนวนนับล้านนั้นเป็นของศาสตราจารย์แมนเฟรดคราเมส (Prof.Manfred Krames)
ชาวเยอรมัน
ผู้ซึ่งยกย่องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของชาวไทยให้เป็นบรมครูผู้ยิ่งใหญ่
[img class="alignright size-full wp-image-12345" title="Prof.Manfred Krames" alt="Prof.Manfred Krames" src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/04/your-1-152.jpg" width="148" height="214">ศาสตราจารย์แมนเฟรดครา เมส
มีความสนใจในปรัชญาแบบตะวันออกและศาสนาพุทธตั้งแต่มีอายุได้ 15 ปี
ทั้งที่ได้รับการศึกษาที่ดีและมีอาชีพการงานที่มั่นคงแต่เมื่อมีอายุได้ 19 ปี
เขาก็ออกจากบ้าน โดยละทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง เพื่อเข้าไปพำนักอยู่ในวัดเซน
ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 3 ปี
ทำให้ไม่เป็นที่พอใจของราอบครัวศซึ่งเป็นชาวคริสเตียนอนุรักษนิยม
แลกะเกือบถึงขั้นถูกตัดขาดออกจากครอบครัว
แต่เขาก็ยังคงศึกษาปรัชญาตะวันออกรวมถึงศาสนาพุทธอย่างจริงจังมาจนถึง
ปัจจุบัน
เมื่อ
ได้พำนักอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นร่วม 10 ปี
เพื่อเรียนภาษาญี่ปุ่นและการบำบัดรักษาแบบจีน ณ กรุงโตเกียว
เขาได้กลายเป็นชาวต่างชาติคนแรกเพียงผู้เดียวที่เป็นสมาชิกของสมาคมเพื่อการ
วิจัยด้านอายุรเวชแห่งญี่ปุ่น (Japan Research
Society for Ayurveda)
หลังจากนั้นศาสตราจารย์แมนเฟรดได้เดินทางไปพำนักยังประเทศศรีลังกาเป็นเวลา 7 ปี
และเปิดคลินิกเพื่อทำการรักษาบำบัดตามแนวทางของอายุรเวท
กระทั่งได้เขียนหนังสือเรื่อง “ความจริงเกี่ยวกับวิชาอายุรเวช”
ซึ่งได้รับการเผยแพร่ความรู้ทางด้านนี้ไปอย่างกว้างขวาง ทำให้ได้รับการยกย่องเป็น
“ศาสตราจารย์กิตติคุณ”
จากมหาวิทยาลัยแห่งโคลอมโบ
ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในประเทศศรีลังกา
หลัง
จากเกิดเหตุภัยพิบัติสึนามิได้ไม่นานนักเขาก็อำลาประเทศศรีลังกามาด้วยความ
หวังว่าจะค้นพบประเทศที่มีสันติสุขและมีชาวพุทธที่เป็นมิตรมากกว่า
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินทางมาพำนักอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่
ประเทศไทย
ณ ที่แห่งนี้อง
ที่ศาสตราจารย์แมนเฟรดได้รู้จักและเรียนรู้คำสอนทั้งทางตรงและทางอ้อมจากพระ
มหากษัตริย์ผู้ทรงดำรงตนเป็นแบบอย่างอันดีงามของพสกนิกรมาโดยตลอด
กระทั่งเขาได้เขียนหนังสือชื่อ “เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัว :
มุมมองของชาวต่างชาติต่อในหลวง”ขึ้นมา
ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2549
หลังจากที่เขียนหนังสือเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสด็จยุโรปครั้งที่ 2 ของ
”พระพุทธเจ้าหลวง ณ สปาการแพทย์ของเยอรมัน”
และหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาชื่อ “Photo Meditation”
สำหรับใครที่สบโอกาสได้อ่าน “เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัว : มุมมองของชาวต่างชาติต่อในหลวง”ความ
รู้สึกที่ตามมาโดยแน่แท้ก็คือ
ความชื่นชมและทึ่งในสิ่งที่ชาวต่างชาติคนหนึ่งได้เรียนรู้จากสิ่งที่พระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเพียรสื่อสารกับพสกนิกรทุกหมู่เล่ามาตลอดพระชนม์
ชีพของพระองค์
โดยสิ่งที่ศาสตราจารย์แมนเฟรดได้น้อมนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเขานั้น
หาได้เป็นการยกย่องแต่เพียงเพราะพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ใน
สายตาของใครๆ
ทว่าเขามีความเข้าใจอันถ่องแท้ไปถึงคุณค่าที่เปล่งประกายออกมาจากภายในของ
พระองค์ท่าน
อย่างที่คนไทยหลายคนอาจจะมิเคยพิจารณาในด้านนี้มาก่อนเลยในชีวิต
ต่อจากนี้ไปจะเป็นเรื่องราวของชายชาวเยอรมันคนหนึ่ง
ซึ่งไม่ได้มองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะที่เขาเป็น
“ฝรั่ง”
หากแต่มองพระองค์ท่านในฐานะของมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่งวึ่งรักและเทิดทูนใน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวภูมิพลอดุลยเดช
ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าประชาชนชาวไทยคนใดในแผ่นดินนี้เลย
“ผมรู้สึกเศร้าใจ”เมื่อมีคนตั้งคำถามกับผมว่ารู้สึกอย่างไรเวลาที่ได้ยินคนไทยพูดว่า“เรารักในหลวง” อันหมายความถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
ผมจะให้คำตอบเช่นนี้ เพราะอะไรน่ะหรือ ลองคิดดูสิว่า ถ้า หากท่านมีลูกที่ไม่เคยเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านเลย
ไม่เคยเดินตามแนวทางทางที่ท่านวางไว้ ไม่เคยต้องการที่จะเรียนรู้จากท่าน
สิ่งที่พวกเขาทำนั้นเพียงแค่ก่อปัญหาแล้วก็เรียกร้องให้ท่านยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออยู่เสมอ
ในขณะเดียวกันก็พร่ำพูดว่า“ลูกรักพ่อ”ถ้าท่านเป็นพ่อท่านจะรู้สึกอย่างไร
ผม
จึงคิดว่าการดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริและน้อมนำคำสอนของพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวมาใช้จึงมีความสำคัญมาก
เราจะเห็นว่าพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระองค์ได้รับการตีพิมพ์ใน
นิตยสารต่างประเทศนับไม่ถ้วน
และหลายต่อหลายครั้งที่พระองค์รวมถึงสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
โปรดให้นักหนังสือพิมพ์และผู้สื่อข่าวของทั้งต่างประเทศและของไทยเข้าเฝ้า
เพื่อสัมภาษณ์
การบอกเล่าถึงพระราชประวัติของพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จึงเป็นเพียงการตอกย้ำสิ่งที่ทุกคนโดยเฉพาะคนไทยต่างรู้ดีอยู่แล้ว
สิ่ง
ที่เราทั้งหลายควรให้ความสำคัญจึงเป็นสารที่พระองค์ทรงเพียรพยายามจะส่งต่อ
ไปถึงชาวโลก
และบทบาทในการสร้างความเข้าใจในระดับนานาชาติรวมไปถึงแนวทางการปฏิบัติตาม
หลักพระพุทธศาสนาอันงดงามของพระองค์
อย่างไร ก็ดี
คำถามมีอยู่ว่าเราในฐานะปัจเจกบุคคลได้ทำอะไรบ้างที่เห็นเป็นรูปธรรมเพื่อ
ทำให้โลกนี้ดีขึ้น
โดยยึดแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ
การ
สรรเสริญและการแสดงความขอบคุณเป็นละเรื่องกัน ผมยังแปลกใจว่า
ในเมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระวิริยอุตสาหะที่จะทำให้พระองค์ทรงเป็นแบบ
อย่างที่ดีงาม ผมไม่ทราบว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจและรับรู้ข้อมูลข่าวสารจริงๆ
ในสิ่งที่พระองค์ทรงสื่อสารให้ผู้คนได้รับทราบนั้นมากน้อยเพียงใด
และจะมีสักกี่คนที่สามารถรวบรวมปัญญา
และแนวทางที่พระองค์ทรงพระราชทานให้เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตจริง
เรา
ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลยว่าแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็น
แนวทางที่เกิดขึ้นจากการที่พระองค์ได้ทรงศึกษาจริงและการที่พระองค์ทรง
กระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการมีพระราชดำรัสต่อพสกนิกรในชาติของพระองค์
หรือบุคคลต่างๆ และแนวทางเพื่อทำให้พสกนิกรเกิดความเข้าใจนั้น
พระองค์ทรงกระทำด้วยความอดทนและด้วยทรงเห็นอกเห็นใจในอาณาประชาราษฎร์ของ พระองค์
ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่าหากพระองค์มิได้ทรงเป็นกษัตริย์ในช่วงพระชนม์ชีพนี้พระองค์จะต้องทรงเป็นบรมครูที่มีชื่อเสียงอย่างแนนอน
ท่านทราบหรือไม่ว่า
ความปรารถนาสูงสุดของครูคืออะไร
ผม ตอบได้ว่า
คือการที่เห็นศิษย์เป็นจำนวนมากเต็มใจศึกษาเล่าเรียนและเห็นคุณค่าคำสอนของ ครู
ไม่มีอะไรอื่นอีกที่จะทำให้ครูมีความสุขมากไปกว่าสิ่งที่กล่าวแล้วนั้น ดังนั้น ผม
จึงมีความรู้สึกว่าเราควรที่จะเน้นบทบาทของพระองค์เพื่อให้ทรงเป็นครูของเรา
แต่โปรดตระหนักไว้เสมอว่า อย่าศึกษาเล่าเรียนเพื่อเอาใจครู
แต่จงศึกษาเล่าเรียนเพื่อประโยชน์และความดีงามให้เกิดแก่ตัวท่านเอง
การศึกษาเล่าเรียนและรู้จักปรับปรุงตนเองเท่านั้นที่จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องไปคิดเรื่องไม่เป็นสาระอื่นๆ
ผม คิดว่า
เป็นการไม่รับผิดชอบที่จะนั่งๆ นอนๆ ใช้ชีวิตอย่างสบาย
และให้คนคนเดียวทำงานอย่างหนักเพื่อดูแลและแก้ปัญหาของชาติ
ท่าทีเช่นนี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงความไม่เคารพต่อพระองค์
ซึ่งแย่ยิ่งกว่าการพูดถึงพระองค์ในทางไม่ดีในสาธารณะ
ประเทศ หลายแห่งในโลกจะดีใจมากที่มีพระมหากษัตริย์เช่นนี้
แต่ท่านเองเป็นคนไทย
มีพระองค์เป็นกษัตริย์แต่ไม่ได้นำประโยชน์จากพระองค์มาใช้ในชีวิตเลยผมคิดว่าน่าละอาย
ถ้าหากว่าเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปสู่วาระใหม่และมีกระแสลมแรงมาจากทิศทางอื่น
ประเทศหลายแห่งในโลกจะชี้มายังประเทศไทยและดูแคลนว่า… “ดูสิ พวกเขามีครูผู้ยิ่งใหญ่
แต่ได้เรียนรู้จากพระองค์น้อยมาก”
ผม รู้สึกสงสารพระองค์อย่างสุดซึ้ง
เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นเพียงบุคคลเพียงคนเดียวที่พยายามจะ
พัฒนาประเทศชาติ ในขณะที่คนอื่นๆ
ในชาติได้แต่เฝ้ารอให้สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นโดยที่มิได้ดำเนินตามรอยพระบาท
ของพระองค์
ซึ่งผมคิดว่าการพัฒนาประเทศในรูปแบบนี้ไม่น่าจะนำพาไปสู่ความสำเร็จได้
ผม
มีโอกาสได้อ่านบทความมากมายในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรีของ
ประเทศไทยท่านหนึ่ง ผู้ที่นำพาประเทศไทยเข้าสู่สนามแห่งธุรกิจ เราพบเห็นนักการเมืองส่วนมากในเอเชียที่หลังจากครองอำนาจและได้ผลประโยชน์แล้วก็ไม่ช่วยเหลืออะไรประชาชนเลย นั่นทำให้ผมรู้สึกสงสารพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เพราะคำสอนของพระองค์ตรงข้ามกับสิ่งที่นักการเมืองเหล่านั้นกำลังเป็นอยู่
พวกเขาจึงทำให้พระองค์ทรงทุกข์ใจ โดยเสแสร้งว่าซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงการสร้างภาพไม่ใช่ความจริง พวก
เขาเพียงแค่ต้องการจะใช้ภาพแห่งความจงรักภักดีนี้เพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนเท
คะแนนให้ในการเลือกตั้ง และขึ้นสู่อำนาจในเวลาต่อมาเท่านั้น
ประชาชน
คนไทยมุ่งหวังว่านักการเมืองจะอุทิศตนเพื่อประเทศชาติเฉกเช่นเดียวกับพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแต่พวกเขาทั้งหลายก็ทำให้คนไทยทั้งชาติผิดหวัง พวกเขาไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้
เพราะนักการเมืองไทยได้รับอิทธิพลของแนวคิดแบบตะวันตก
และมีหัวใจที่ถูกครอบงำไว้ด้วยธุรกิจ สำหรับผม
ในหัวใจของพวกเขาจึงไม่ได้มีความเป็นไทยอีกต่อไปแล้ว
นั่น
คือเหตุผลที่ว่าทำไมคนธรรมดาสามัญชนทั้งหลายจึงรู้สึกรับไม่ได้กับการ
คอร์รัปชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวง และนักโกหกที่ทำลายประเทศลงด้วยมือของพวกเขาเองอย่างไร
ก็ตามตราบใดที่ไม่มีใครสอนให้นักการเมืองดำเนินรอยตามแนวพระราชดำริของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวความหวังของคนไทยทั้งปวงย่อมจะไม่มีวันเกิดขึ้น
จริง
ก่อน
ที่จะตัดสินใจมาพำนักอยู่ในประเทศไทย ในความคิดของผม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงเป็นที่รู้จักมากนักในต่างประเทศ
ชาวต่างชาติรู้แค่เพียงว่าประเทศไทยก็เป็นเพียงประเทศหนึ่งเท่านั้น
หลังจากที่ผมย้ายมาพำนักอยู่ในประเทศไทยแล้ว
ผมพบว่าประชาชนคนไทยเองก็ไม่ได้สอนอะไรผมมากนักเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว ทุกคนเพียงแค่พยายามจะเทิดทูนและยกย่องพระองค์
มีคนไทยเพียงแค่บางคนเท่านั้นที่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการจะสื่อสาร
และดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระองค์
[img class="size-full wp-image-12392 alignleft" title="In his majesty’s footsteps " alt="In his majesty’s footsteps " src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/04/hmf-big.gif" width="180" height="283"> In his majesty’s
footsteps หนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นถึงด้านที่เป็นเพียงปุถุชนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รวมถึงความพยายามของพระองค์ด้วย ผม
ไม่เคยขอให้ใครอ่านหนังสือเกี่ยวกับพระองค์ที่เป็นภาษาไทยให้ผมฟังเลย
เพราะเพื่อนคนไทยของผมบอกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของหนังสือพวกนั้น ล้วนแล้วแต่มีเนื้อหา
รูปภาพ และเรื่องราวที่ไม่แตกต่างกัน
นั่นจึงไม่ใช่แหล่งข้อมูลที่ผมต้องการ
กระทั่ง วันหนึ่ง
ผมเงยหน้าขึ้นมองพระบรมฉายาลักษณ์ขนาดใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ชั่วขณะหนึ่ง โดยมองตรงเข้าไปในพระเนตรของพระองค์
แล้วทันใดนั้นพระองค์ก็ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนหนังสือ “เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัว” ขึ้น มา
พระองค์ทรงรับสั่งให้ผมเขียนหนังสือเกี่ยวกับพระองค์ท่านขึ้นมาเล่มหนึ่ง
การรับสั่งครั้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในทางรูปกาย
หากแต่ผมรับรู้พระประสงค์ของพระองค์ได้ทางจิต
เรื่องนี้อาจจะฟังดูเหมือนผมฟั่นเฟือนไปเสียแล้วแต่ทว่าเป็นเรื่องจริง
สำหรับขั้นตอนในการผลิตหนังสือเล่มนี้
ส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครสนับสนุนการทำงานของผมเท่าใดนัก เพราะพวกเขาคิดว่า
“ฝรั่ง” ไม่มี
ทางที่จะเข้าใจในพระมหากษัตริย์ของชาวไทยได้
ไม่มีใครเลยที่กล้าเสี่ยงในการตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ดังนั้น
ผมจึงดำเนินการทางการเงินทั้งหมดด้วยตัวผมเอง
กระทั่งทุกวันนี้ที่หนังสือได้รับการตีพิมพ์ถึง 3 ครั้งแล้ว
ผมก็ไม่ได้หากำไรหรือผลประโยชน์ใดๆ จากหนังสือเล่มนี้ เห็นได้จากราคาขายเพียงเล่มละ
99 บาทเท่านั้น
การดำเนินชีวิตโดยใช้วิชาการอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ
จะต้องอาศัยความรู้รอบตัวและหลักศีลธรรมประกอบด้วย
ผู้ที่มีความรู้ดีแต่ขาดความยั้งคิด นำความรู้ไปใช้ในทางมิชอบ
ก็เท่ากับเป็นบุคคลที่เป็นภัยแก่สังคมของมนุษย์
พระองค์ทรงหาแนวทางพัฒนาเพื่อมุ่งประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุด
ทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย
เราคนไทย เรารัก เราเทิดทูน ในหลวงของเรา
เราคนไทย เรารัก เราเทิดทูน ในหลวงของเรา
เรารักในหลวง ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ขอให้คนไทยทุกคนมีความภาคภูมิใจ
ในความเป็นพลเมืองของพระองค์
สถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์
เป็นสถาบันหลักในผืนธงชาติไทยที่เราเคารพ
๓๑๖
ในหลวงพระองค์ทรงมีพระราชดำรัสให้คนในชาติมีความรักใคร่กลมเกลียวสมัครสมานสามัคคีมีความ
เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
อันจะนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองคงความเป็นชาติไทยไว้ได้
ขอให้พ่อหลวงมีพระวรกายแข็งแรง
เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตลอดไป
ขอให้พ่อหลวงมีพระวรกายแข็งแรง
เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตลอดไป
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงมีความละเอียดรอบคอบทรงคิดหาแนวทางพัฒนาเพื่อมุ่งประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุด
ในหลวงพระองค์ทรงงานหนักและเหนื่อย
เพื่อราษฎรของพระองค์ได้มีความสุข สัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ของชาติไทยคือ สถาบัน
พระมหากษัตริย์
ขอให้พ่อหลวงมีพระวรกายแข็งแรง
เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตลอดไป
ขอให้พ่อหลวงมีพระวรกายแข็งแรง
เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตลอดไป
บรรพบุรุษท่านต่อสู้กอบกู้ชาติ ศาสน์ ราชัน แล้วเราเป็นใครกันไม่รักษาให้จงดี
พระองค์ทรงเสด็จไปเยี่ยมเยือนประชาชนในท้องถิ่นชนบท
จนทำให้ราษฎรอบอุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง
จักรีวงศ์ องค์ราชา ปวงประชาขอน้อมเกล้า
LONG LIVE THE KING.
หนทางจะกันดารลำบากยากแค้นแดนไกลสักปานใดก็ตาม พระองค์ไม่ทรงเคยย่อท้อ
ทรงเสด็จไปบำรุงสุขให้กับราษฎรของพระองค์
เราจะปกป้อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ให้เป็นที่พึงของเราชาวไทยตลอดไป
สถาบันพระมหากษัตริย์
เป็นสถาบันหนึ่งที่ช่วยให้เราได้มีแผ่นดินอยู่จนถึงลูกหลานเราถึงทุกวันนี้
ผมรักในหลวง ครับ
ขอให้ชาวไทยทุกหมู่เหล่าอยู่อย่างพอเพียงเพื่อสนองพระราชดำรัสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา
ขอพระองค์หายจากพระประชวร โดยเร็ว ขอให้พระพลานามัยแข็งแรง
ขอให้คนไทยทุกคนมีความภาคภูมิใจ ในความเป็นพลเมืองของพระองค์
ขอให้พระองค์ทรงมีพระพลามัยแข็งแรง