ผมกำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่ Multimodal Literacies ซึ่งก็เป็นเรื่องเดียวกับกับ reading น่ะล่ะครับ แต่ในยุคต่อไปนี้ การอ่านเราไม่ได้จำกัดที่หนังสืออีกต่อไป คิดดูง่ายๆขณะที่ผมกำลังเขียน texts นี้ให้คุณๆอ่าน มันคือการเขียนเพื่อให้คนอ่าน แต่เรากำลังเพิ่มมิติของภาษาเข้าไปอีก ซึ่งมันเป็น multimodality มีทั้งการใส่ลิงค์ การเพิ่มรูปแบบของการนำเสนอสาร และกระบวนการตอบสนองระหว่าง writer-reader ที่เกิดขึ้นทันทีที่คุณอ่านแล้วชอบ แล้วกด Like หรือจะ reply กันก็ได้ อ่านหนังสือมากๆเลยอยากเอาออกจากหัวมาเล่าให้ชาวบ้านรู้เรื่องบ้าง อยากรู้ลึกอ่านตรงนี้ครับ
https://secure.ncte.org/library/NCTEFiles/Resources/Books/Sample/32142Intro_x.pdf
จะว่าอะไรไปไหนไกล ขนาดตัวผมเองนะทุกวันนี้ยังอ่านหนังสือไม่เกินสิบบรรทัด เวลาอ่าน texts ในหนังสือประเภทตีพิมพ์ หรือ printed text ผมจะไม่ค่อยมีสมาธิกับการอ่านประเภทนี้เท่าไรนัก พฤติกรรมการอ่านของคนมันเปลี่ยนไปจริงๆนะ แต่การคลิคไปมาบน digital platform มันเป็นไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปแล้วของคนทุกวันนี้ มันไม่เป็นเส้นตรงบรรทัดต่อบรรทัดเหมือนในหนังสือ ผมเคยคุยงานกับอาจารย์ที่ปรึกษาว่า ผมขอเรียกมันว่า vertical dimension ได้ป่าวครับ แกบอกว่า เออ..ไม่เลว งั้นเขี่ยน dissertation เรื่องนี้นะ โอเคเลย แกเอากับเราจริงๆ
แต่เชื่อกันไหมว่าบริบทการสื่อสารบน digital platform มันไม่เหมือนกับ academic discourse เท่าไรนัก การสร้างเมสเสจแบบนี้ มันควรไปปรากฏบนงานเวทีสัมนามากกว่าหน้า facebook จะว่าไปไหนไกล มันขึ้นอยู่ที่กลุ่มผู้อ่านมากว่าจะถูกจริตกันป่าว เรื่องง่ายๆที่ทำให้เป็นกระแสออนไลน์ได้ น่าจะเป็นอะไรจิ๊บปิดจิ๊บปี่ เช่น คำด่าเหี้ยๆ อาหารการกิน หรือ ภาพเดินทางไปไหนมาไหน เมสเสสที่เป็นภาพ มีอิมแพคเยอะจริงๆ ในโลก Web 2.0
น่าสนใจมากเลยครับอาจารย์