GotoKnow
หน้าแรกสมาชิกลิขิตสมุดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในสคส. › ๑ เคล็ดไม่ลับใน KM ปฏิบัติ พุทธศักราช ๒๕๕๕

๑ เคล็ดไม่ลับใน KM ปฏิบัติ พุทธศักราช ๒๕๕๕

ลิขิต
เขียนเมื่อ 27 ธันวาคม 2012 21:59 น. ()
แก้ไขเมื่อ 27 ธันวาคม 2012 22:14 น. ()
ทักษะการจัดการความรู้ ถ้าฝึกโดยธรรมชาติ ก็จะพัฒนายกระดับ ความคิด การนึก เพื่อสามารถเลือกใช้ความรู้ตามสถานการณ์ได้ ...“เมื่อปัญหาข้อกังขาคาใจโดยส่วนตนถูกคลี่คลาย แล้วมิใย ที่จิตใจเราจะรู้สึก กระจ่างใสเล่า”

๑ เคล็ดไม่ลับใน KM ปฏิบัติ พุทธศักราช ๒๕๕๕

     วันหนึ่ง หรือวันนี้ เป็นวันแรกในปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ ที่ผู้เขียนได้สัมผัสอากาศเย็น คล้ายฤดูหนาวที่เราสมมุติชื่อไว้ในปีก่อนๆๆๆๆๆมา... ที่บ้านริมแม่น้ำแม่กลอง

      ในเดือนสุดท้ายของปีนี้ ผู้เขียนได้ review อย่างยินดี ว่าประมาณหนึ่งปีที่ผ่านมา สมาชิก GotoKnow มีพัฒนาการยกระดับด้วยการหมุนเกลียวความรู้ในทิศทางที่เข้าใกล้ตัวตนคนไทยแล้ว จะมีคุณค่ายิ่งสำหรับส่วนตน ส่วนรวม ทั้งปัจจุบันและอนาคต  ผู้เขียนรู้สึกเกิดบรรยากาศอยากเล่า บางเรื่องที่ได้เรียนรู้ผ่านมา เช่นกัน

ทำไมต้องเชียร์ให้ฝึกทักษะการจัดการความรู้?

      วิกฤตอุทกภัยถล่มพื้นที่ลุ่มน้ำภาคเหนือ และ ภาคกลาง ที่เกิดขึ้นช่วงปลายปีพุทธศักราช ๒๕๕๔โดยมิอาจคาดการณ์  เป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้เขียน คิดเรื่อง....

      การเผชิญปัญหา  ถ้าเรามีโลกทัศน์กว้าง  เรารู้จักพื้นที่ รู้จักสังเกต ตัดสินใจ ก็จะสามารถ ผ่านพ้นได้อย่างราบรื่น

      ผู้เขียนรู้สึกยินดีที่คนผ่านภัยพิบัติได้คิด และปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต

      การดำเนินชีวิตแบบทุนนิยม ตามกระแสสังคม มาถึงจุดอิ่มตัว

       ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นต้นมา มีผู้คนเริ่มกล่าวถึงกันมากในหลายวงการ เกี่ยวกับ การแก้ไขปัญหา       ซึ่งซับซ้อนมาก ว่า ต้องมีวิธีคิดอย่างไร?

       คนมักใช้ความรู้ ข้อมูลข่าวสาร ที่ได้รับมาใหม่ เป็นข้อมูลพื้นฐานในการคิดช่วงเวลานั้นๆ เช่น  กำลังเริ่มทำ ระบบ ISO ก็คิดว่าเป็นสิ่งใหม่ที่ดี และ นำมาเป็นกรอบการคิดในการดำเนินชีวิตต่อไปด้วยวิธีซึมซับ  แทนที่เราจะทบทวนด้วยว่า มีข้อดีข้อเสียอย่างไร? กับ วิถีเดิม เหมาะสมกับตัวเรา สภาพแวดล้อมรอบตัวเรา หรือไม่? มากน้อยแค่ไหน? อย่างไร? แยกแยะ และนำเฉพาะบางส่วนที่เป็นผลดีกับเราเท่านั้น มาประยุกต์ใช้

       ความคิด การนึก เกิดจากการฝึกฝน โดยปรัชญาดีที่สุดสำหรับคนตะวันออก ตามประสบการณ์ และบทเรียน ที่ผู้เขียนผ่านพ้นมา เพราะคนตะวันออก มีความละเอียด ถึงละเอียดอ่อน จากถิ่นกำเนิด อารยธรรม ตลอดจนวัฒนธรรม เอื้ออำนวย  ในขณะที่คนตะวันตกก็มีกรอบการคิดอีกแบบหนึ่ง ตามถิ่นที่เกิด แหล่งที่มาของเขา  ต้องยอมรับว่า  ณ ปัจจุบัน  สิ่งที่เราเรียกกันว่า การพัฒนานั้น  เราสร้างค่านิยมไว้ว่า ต้องรับเข้ามาจากทางตะวันตก  เราจึงพยายามเปลี่ยนแปลงตนเองไปสู่แนวทางนั้นทุกเรื่อง  เพราะเขาสำเร็จในเรื่องสมมุติใหม่ ณ เวลาหนึ่ง  ที่เรียกว่า  เงิน หรือ ทุน  จนถึงจุดเปลี่ยนแปลง ณ เวลานี้

      ทักษะการจัดการความรู้ ถ้าฝึกโดยธรรมชาติ ก็จะพัฒนายกระดับ ความคิด การนึก เพื่อสามารถเลือกใช้ความรู้ตามสถานการณ์ได้

      สำหรับผู้เขียนได้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์จากวิกฤตอุทกภัยมาก แต่บันทึกเพียงนี้

      1.  ฝึกความอดทนรอคอย

      2.  ฝึกการแบ่งปัน

      3.  ฝึกการเข้าใจธรรมชาติ

      4.  ฝึกการแลกเปลี่ยนแทนการใช้เงิน

      5.  เลิกฟุ้งเฟ้อ

      6.  เลิกมาตรฐานสูง

      7.  ฝึกการจัดการขยะ

      8.  ฝึกความลำบาก

      9.  ต้องอยู่กับทุกรูปแบบได้

    10.  ไม่ใช้ประสบการณ์เดิม หรือ ศาสตร์สถิติที่ตนเองเรียน ตัดสินใจในสถานการณ์ฉุกเฉิน

     ผู้เขียนยังแอบบันทึกไว้ “ ปีนี้น้ำท่วม น่าจะจัดมหกรรมการจัดการความรู้ ผ่านจอ...  เราจะจัดการความรู้อะไรได้บ้างหนอ? จะสามารถใช้ความรู้จัดการ แก้ไข และป้องกันปัญหาอะไรได้บ้างหนอ?”

     ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ สำหรับประเทศไทย กลายเป็นแรงผลักให้ผู้เขียน บันทึก เรื่องเคล็ดไม่ลับใน การปฏิบัติ KM ของตนเอง ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที จนถึงปัจจุบัน

     ผู้เขียนเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญ เมื่อจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ก็มีความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้มีคุณภาพเต็มที่ ด้วยความรู้ที่เล่าเรียนมา  แต่การแสวงหาคำตอบในช่วงหนึ่งของชีวิตการงานกลับพบว่า วิธีเรียนที่ผ่านมาก็ยากเย็นแสนเข็ญไม่น้อย เมื่อจะต้องแก้ไขปัญหาอย่างมีคุณภาพยิ่งยากเย็นกว่า แม้พหูสูตร คณาจารย์ หลายๆท่านก็ยอมรับอย่างเปิดเผยกับผู้เขียนว่า ปัญหาไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยสูตรที่ตนสอน  ผู้เขียนจึงแสวงหาคำตอบต่อไป

     ผู้เขียนมีโอกาสได้ศึกษาพุทธปรัชญาธรรมชาติโดยบังเอิญ มีจุดเริ่มต้นจากความสับสน  ทำให้ผู้เขียนพูดเป็นคำมั่นกับองค์พระพุทธรูป พระประธานในโบสถ์ของวัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ว่า “ผู้เขียนแสวงหาความรู้เพื่อแก้ไขปัญหาเท่านั้น” การไปวัดเพื่อทำบุญตักบาตรในวันสำคัญทางศาสนา เป็นเรื่องพื้นฐานที่ผู้เขียนถูกปลูกฝังตั้งแต่จำความได้ พระสงฆ์ที่สงบนิ่ง อย่างบรรพชิตผู้เขียนก็สามารถแยกแยะ แต่ทำไม? ณ เวลานั้น ผู้เขียนรู้สึกสบายใจที่จะพูดระบายกับพระพุทธรูป ที่มีพระพักตร์สงบนิ่ง เปี่ยมด้วยเมตตา

     การไหว้พระในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้น เป็นการศึกษาเรียนรู้อย่างจริงจัง ที่วัด... ทำให้ผู้เขียนได้สำนึกเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่าง เช่น บรรพกษัตริย์ไทย บรรพบุรุษไทย ได้สร้างสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งไว้ให้ชนรุ่นหลัง ด้วยภูมิปัญญาในแต่ละยุค แต่ละสมัย  วัดในกรุงเทพมหานครที่ผู้เขียนไปไหว้พระ ในวันหยุด  ไม่ค่อยได้พบเจอคนไทย จะพบนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศมากกว่า  น่าแปลก ว่าก่อนหน้านี้ทุกสุดสัปดาห์ผู้เขียนชอบไปเดินเที่ยว ซื้อของ หรือพบปะสังสรรค์ที่ห้างสรรพสินค้า  เมื่อเปรียบเทียบกิจกรรมในวันสุดสัปดาห์กันแล้วมีความแตกต่าง  ในเช้าวันจันทร์ แบบเดิมจะรู้สึกเพลีย ขาดพลัง อาจใช้เงินเกินงบประมาณในบางครั้ง  ของที่ซื้อมา กองเต็มคงจะใช้ประโยชน์ไม่ได้เต็มที่นั่นเอง แต่กิจกรรมแบบหลัง จะรู้สึกสดชื่นในเช้าวันจันทร์ สบายใจ ปลอดโปร่ง รู้สึกว่าใช้วันหยุดอย่างคุ้มค่า ได้ศึกษาแก่นแท้ชีวิต มีเวลาให้กับตัวตนจริงๆของเรา  ความสวยงามของศิลปวัฒนธรรมในโบราณสถาน โบราณวัตถุ  ประวัติศาสตร์ที่จารึกในที่ต่างๆ หรือมีผู้คนเล่าถึง ทำให้ผู้เขียนซึมซาบในถิ่นที่มาของตัวตนความเป็นคนไทย  อาหารท้องถิ่นที่มีขายตามวัดต่างจังหวัด  อัธยาศัยไมตรีของชาวบ้าน ทำให้เรารู้สึกประทับใจ และล้วนแต่ได้พลังชีวิตด้านดี  การไหว้พระรวมถึงไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในประเทศไทย บูรพกษัตริย์ ปูชนียบุคคล ทุกยุคทุกสมัยที่ทำคุณประโยชน์ให้กับชาติแผ่นดินไทยโดยแท้ ...วิชานี้ผู้เขียนหาไม่ได้ในห้องเรียนจริงๆ

     ในกรณีเรียนรู้นี้ มีผู้เข้าร่วมเรียนรู้  ไม่จำกัด เชื้อชาติ ศาสนา พุทธ คริสต์ อิสลาม และเขาเหล่านั้นก็ได้สัมผัสกับสัจจะแห่งธรรม ตามแต่ละผู้ละนามพึงขยันปฏิบัติมากน้อย

     ด้วยกิจกรรมใหม่ของผู้เขียนนี้เอง ทำให้ผู้เขียนสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง เริ่มจากการเปิดใจยอมรับบุคคลในกลุ่มสังคมที่แตกต่างจากเรา เช่น กลุ่มคนยากจน กลุ่มเศรษฐีมีอันจะกิน กลุ่มคนมีความทุกข์ กลุ่มนักบริหารประเทศ เป็นต้น ซึ่งเขาก็มีโจทย์ที่แตกต่างจากผู้เขียน เช่น มีโรคภัยไข้เจ็บ มีปัญหาชีวิตต่างๆนานา มีญาติที่เป็นทุกข์ มีเรื่องที่คาดหวังแต่ยังไม่สำเร็จ เป็นต้น  บัดนั้นผู้เขียนจึงเริ่มเรียนรู้ มิใช่มองเพียงเปลือกนอก หรือเครื่องชี้บ่ง ได้แก่ เสื้อผ้า การแต่งกาย ยศฐาบรรดาศักดิ์ วุฒิการศึกษา ฯลฯ เป็นสิ่งตัดสิน ที่จะศรัทธาในเนื้อแท้ของความรู้ หรือความจริงจากแต่ละผู้แต่ละนาม นั่นทำให้เกิด ความเชื่อ เชื่อมั่น มั่นใจ โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นแบบแปลกๆที่ผู้เขียนไม่เคยพบมาก่อน  ภายใต้การเริ่มต้น พัฒนาการเรียนรู้นี้ ผู้เขียนลงมือปฏิบัติสม่ำเสมอควบคู่กับการกินเจ(ทนอด ทนกลั้น เพื่ออดทน อดกลั้น) การสวดมนต์ (เพื่อความสงบ) และการนั่งกรรมฐาน(ฐานของการกระทำ เพื่อความนิ่ง)  ภายใต้ผู้ชี้แนะ และมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สิ่งที่ดีงามเสมอ อาจจะเรียก ภาษาไทย ว่า คุณธรรม จริยธรรม ก็ไม่ผิด  ผู้เขียนจะถูกสอนว่า ปัญญามีคุณและมีโทษเป็นอาวุธทำลายก็ได้ แต่เมตตามีคุณด้านเดียว จงเลือกเอา แต่สิ่งหนึ่งพึงระวัง คือ ความอยากได้ใคร่ดีในทุกเรื่อง จะเป็นเงื่อนไขให้ผู้ฝึกปฏิบัติตกอยู่ในวังวน  เมื่อปัญหาข้อกังขาคาใจโดยส่วนตนถูกคลี่คลาย แล้วมิใย ที่จิตใจเราจะรู้สึก กระจ่างใสเล่า”

      เมื่อผู้เขียนทำงานไประยะหนึ่ง และสนใจ KM จากบันทึกฉบับเก่าที่บอกเล่าต่อ สคส ก็ทดลองปฏิบัติ KMฉบับ สคส โดยมีฐาน เคล็ดไม่ลับที่กล่าวมา คู่ขนานไปด้วย  มาบัดนี้ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ ผู้เขียนจึงรู้สึกภาคภูมิใจ และสำนึกในถิ่นที่เกิด เชื้อชาติ และจิตวิญญาณไทย โดยแท้

สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า


ความเห็น

 สวัสดีปีใหม่ 2556 ค่ะ http://www.gotoknow.org/posts/514705


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย