Thanachart
นาย ธนชาติ แสงประดับ ธรรมโชติ

รวันดา ภายใต้อาณานิคม : บทเรียนของโลก บทเรียนของไทย ตอนที่ 4


           รวันดา  ภายใต้อาณานิคม : บทเรียนของโลก  บทเรียนของไทย* (4)

                                                                                          ธนชาติ  แสงประดับ ธรรมโชติ        

                                                                                         นักวิชาการอิสระเศรษฐศาสตร์การเมือง

                                                                                         เครือข่ายเสริมสร้างสังคมสันติสุข  

ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 16 ชาวยุโรปเริ่มแสวงหาช่องทางทำการค้าในทวีปต่างๆทั่วโลก  ซึ่งแอฟริกาก็เป็นพื้นอีกที่หนึ่งที่หลายๆประเทศต้องการเข้ามาครอบครองจนกระทั่งศตวรรษที่ 19 บางประเทศในทวีปยุโรปได้ตัดสินใจทุ่มเทไปกับการเข้าควบคุมอำนาจทางการเมืองในแอฟริกา  ผู้นำยุโรปและพ่อค้าวาณิชทั้งหลายเชื่อว่าแอฟริกาน่าจะเป็นแหล่งระบายสินค้าสำหรับส่งออกได้อย่างดีพร้อมกับเป็นแหล่งดูดซับทรัพยากรกลับประเทศของตน ในครั้งนั้น ทั้งสหราชอาณาจักรฝรั่งเศส เบลเยี่ยม อิตาลี โปรตุเกส สเปน และเยอรมันต่างก็แย่งชิงพื้นที่ดังกล่าวเพื่อมีอำนาจเหนือภูมิภาคแห่งนี้

ดินแดนที่ตั้งอยู่ศูนย์กลางของแอฟริกาตะวันออกของภูมิภาคซึ่งได้รวมอาณาเขตของรวันดาในปัจจุบันและเบอรันดีรวมเป็นหนึ่งในดินแดนสุดท้ายของทวีปแอฟริกาที่ดึงดูดนักสำรวจชาวยุโรปให้เข้ามาดินแดนบริเวณนี้แม้ไม่มีเส้นทางออกสู่ทะเลและพื้นที่ก็เต็มไปด้วยภูเขาจำนวนมากที่ยังเขียวชอุ่มแต่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ การปกครองของภูมิภาคนี้โดยชาวตุ๊ดซี่เป็นอาวุธสำคัญในการป้องกันการครอบงำของยุโรปเพราะมีความซับซ้อน
ซึ่งชาวยุโรปพบว่าเป็นการยากที่จะเข้าไปในดินแดนนี้ ในช่วงทศวรรษที่ 1800 นักสำรวจชาวอังกฤษหลายคนเดินทางเข้าไปในแถบชนบทซึ่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของรวันดาในเวลาต่อมาจนกระทั่งปี 1894 นักสำรวจชาวเยอรมันชื่อ เคานท์ วอน กอทเซน ได้เข้าไปสำรวจบริเวณศูนย์กลางของภูมิภาคแห่งนี้  หลังจากนั้นยุโรปจึงเริ่มเข้ายึดครอง

การปกครองภายใต้อาณานิคมของเยอรมัน

เมื่อกลางยุค 1890 ยุโรปหลายหลายประเทศต้องการเข้าไปยึดครอง  ไม่ว่าจะเป็นเบลเยี่ยม และอังกฤษก็ให้ความสนใจเนื่องจากว่าทั้งสองประเทศต่างก็มีอำนาจเหนือภูมิภาคที่อยู่ใกล้เคียงกันนี้แต่เยอรมันเป็นประเทศแรกที่ได้เข้ายึดครองรวันดาเป็นอาณานิคมของตน หลังจากนั้นไม่กี่ปีต่อมาทั้งสามชาติยุโรปได้ถกเถียงกันถึงอำนาจเหนืออาณาเขตในแต่ละภูมิภาคที่ตนมีอำนาจในแอฟริกาเหนือดังนั้นจนกระทั่งปี 1910 ทั้งเยอรมันเบลเยียมและอังกฤษตกลงกันได้ในการแบ่งอาณาเขตของภูมิภาค เยอรมันกลายเป็นผู้ปกครองอย่างเป็นทางการของภูมิภาคนี้
ซึ่งได้รวมไปถึงอาณาเขตของรวันดาและเบอรันดีในปัจจุบันด้วยถึงแม้ว่าอาณาจักรถูกแยกออกจากกัน แต่เยอรมันได้รวมอาณาจักรทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกันซึ่งเรียกว่า“รูอันดา-อูรันดี” อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นภูมิภาคเดียวกันแต่เยอรมันได้ปกครองรูอันดาและอูรันดีภายใต้นโยบายทางการเมืองที่แตกต่างกัน

มหาอำนาจและเจ้าอาณานิคมสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อรวันดาและต่อความสัมพันธ์หว่างชาติพันธุ์ฮูตูและตุ๊ดซี่
เมื่อเยอรมันเข้าปกครองในรวันดา ก็พบว่าการปกครองแบบลำดับชนชั้นที่ก่อตั้งขึ้นโดยชาวตุ๊ดซีตามระบบอูบูฮาเก (Ubuhake)ที่ส่งผลสนับสนุนให้ชาวตุ๊ดซี่เป็นชนชั้นที่เหนือกว่าชาวฮูตูนั้น ความเชื่อดังกล่าวนี้ไม่มีรากฐานที่มั่นคงเพียงพอ  เพราะความแตกต่างทางสถานะทางสังคมระหว่างสองกลุ่มชนเผ่ายังประกอบด้วยเหตุอื่นด้วย โดยชาวยุโรปมีความเชื่อว่ามีเหตุมาจากทฤษฎีทางเชื้อชาติของชาวยุโรป(สีผิว)ที่ได้ทำให้ชาวตุ๊ดซี่อยู่เหนือชาวฮูตู

เยอรมันและเบลเยียมมองเห็นสังคมชาวรวันดาผ่านลักษณะทางชนเผ่าและเชื้อชาติโดยอาศัยทฤษฎีทางเชื้อชาติของชาวยุโรปในศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นการสนับสนุนความคิดที่ว่าคนคอเคซอยด์(คนขาว) และนิกรอยด์ (คนดำ) พัฒนาแยกออกจากกันโดยคนผิวขาวเป็นผู้มีฐานะเหนือกว่าคนผิวดำสืบต่อกันมามหาอำนาจเยอมรมันรู้สึกได้ว่าสองชนเผ่านี้ต้องมาจากเชื้อชาติที่ต่างกัน มีข้อถกเถียงกันว่าลักษณะของชาวตุ๊ดซี่มีลักษณะใกล้เคียงกับชนชาวยุโรปมากกว่าชนเผ่าแอฟริกันเผ่าอื่นๆนักมานุษยวิทยาบางคนอ้างว่าชาวตุ๊ดซี่เป็นพวกฮามิติค ซึ่งได้รับการยืนยันจากนักวิทยาศาสตร์ชาวยุโรปว่าฮามิติคเป็นเชื้อชาติคอเคซอยด์ระดับล่างสุด มาจากทางเหนือเพื่อที่จะพิชิตและปกครองรวันดาบทสรุปนี้นำไปสู่การที่ชาวยุโรปตัดสินใจว่าชนชั้นชาวตุ๊ดซี่เกิดมาเพื่อปกครองชาวฮูตูและชาวทวาที่อยู่ในฐานะต่ำต้อยกว่าและยังนำไปสู่ความเชื่อนานนมที่ว่าชาวตุ๊ดซี่รุกรานรวันดาและพิชิตกลุ่มชนอื่นๆได้

ทฤษฎีที่มหาอำนาจยุโรปที่อาศัยการเพิ่มสาระเรื่องเชื้อชาตินั้นไม่เคยมีปรากฏมาก่อน  แต่มีการเพิ่มเติมในภายหลังและเมื่อเวลาผ่านไปชาวตุ๊ดซี่และชาวฮูตูเริ่มจะขยายความเห็นเรื่องเชื้อชาตินี้อย่างต่อเนื่องชาวตุ๊ดซี่ดูจะยอมรับเป็นพิเศษกับความคิดเห็นนี้เพราะเป็นทฤษฎีที่สนับสนุนอุดมการณ์ว่าตนเป็นชนชั้นนำที่เหนือกว่าส่งผลให้เกิดความรู้สึกต้อยต่ำในหมู่ชาวฮูตู เกิดความไม่พอใจและนำไปสู่การต่อต้านชาวตุ๊ดซี่และการใช้ความรุนแรงผู้นำชาวฮูตูก็มีความรู้สึกโน้มเอียงไปกับทฤษฎีเชื้อชาติและสนับสนุนแนวคิดเรื่องเชื้อชาติโดยกล่าวว่าชาวฮูตูเป็นผู้อาศัยในประเทศรวันดาที่ถูกกฎหมายเพียงชาติพันธุ์เดียวเท่านั้นแต่ชาวตุ๊ดซี่เป็นผู้รุกรานและไม่สามารถอยู่ในประเทศได้  ซึ่งต่อมานักประวัติศาสตร์ยุคปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นว่าทฤษฎีนี้ไม่ถูกต้อง

ดอกเตอร์ ริชาร์ด คาน นักสำรวจและนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันซึ่งได้รับแต่งตั้งจากเยอรมันให้เป็นผู้ว่าการรัฐคนแรกของรูอันดา-อูรันดีได้ปกครองรวันดาทางอ้อม โดยอาศัยการปกครองตามระบบลำดับชั้นของชาวตุ๊ดซี่อย่างเดิมแทนที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างรัฐบาลใหม่ทั้งหมดเยอรมันเองไม่ได้ส่งคนมามากมายในอาณานิคมของตน เพราะต้องใช้เงินจำนวนมากในการปกครองและต้องมีผู้บริหารหลายคนเยอรมันจึงยังคงรักษาระบบศักดินานี้ไว้ดังเดิม ดอกเตอร์ ริชาร์ด คาน ทำงานร่วมกับมวามิและชีฟของมวามิในการปกครองรวันดาโดยมอบหมายให้ชาวตุ๊ดซี่ดูแลอาณาเขตเพื่อรักษาความจงรักภักดีของประชาชนดังเดิม

นอกจากนั้นกองทหารเยอรมันก็ได้ช่วยเหลือชาวตุ๊ดซี่ในการสร้างความเข้มแข็งและแข็งแกร่งในการปกครองโดยทุ่มเทอำนาจอย่างเต็มที่เมื่อจำเป็นตัวอย่างเช่นในปี 1912เยอรมันมีบทบาทในการต่อต้านกบฏชาวฮูตูในตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประชาชนชาวตุ๊ดซี่ไม่เคยได้รับการยอมรับอย่างเต็มใจในช่วงการซ้อมรบทหารเยอรมันได้เผาบ้านเรือนของชาวฮูตูทำลายพืชผลและฆ่าผู้นำชาวฮูตูหลายคน และด้วยการสนับสนุนทางการทหารจากเยอรมันอย่างเต็มที่มวามิจึงมีศักยภาพในการขยายอาณาเขตและทำให้การปกครองของชาวตุ๊ดซี่ที่มีเหนือชาวฮูตูยิ่งมีความเข้มแข็งขึ้นดังนั้นเพื่อเป็นการตอบแทนต่อกันในระบบศักดินาชาวตุ๊ดซี่จึงได้สนับสนุนการบริหารของเยอรมันอย่างเต็มที่เช่นกัน

เยอรมันได้คิดแผนการในการพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของภูมิภาคขึ้นมาใหม่  แต่มีเพียงโครงการที่สำคัญบางอย่างเท่านั้นที่เป็นรูปเป็นร่างมหาอำนาจเยอรมันได้สร้างระบบศาลอย่างง่ายๆขึ้นและสร้างเครือข่ายชุมชนเล็กๆขึ้นมาใหม่แต่ด้วยบุคลากรที่มีอยู่อย่างจำกัดของเยอรมันภายในรวันดาประเทศจึงเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองเพียงน้อยนิด เยอรมันเองได้สนับสนุนให้มีการปลูกกาแฟทั้งๆที่กาแฟไม่ได้มีอยู่ในภูมิภาคแห่งนี้มาก่อนแต่ต่อมาเมล็ดกาแฟเหล่านี้เองได้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่ทำเงินและสามารถส่งออกไปขายประเทศอื่นๆได้อย่างต่อเนื่องพัฒนาการของการปลูกกาแฟได้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจของรวันดาจนถึงปัจจุบัน และที่สำคัญคือได้ก่อให้เกิดระบบเศรษฐกิจแบบแลกเปลี่ยนด้วยเงินตราขึ้นในรูอันดาหลังจากนั้นชาวฮูตูและชาวตุ๊ดซี่ต่างก็แลกเปลี่ยนสินค้า ผลผลิตฝูงสัตว์และแรงงานด้วยการชำระเงินต่อกันเศรษฐกิจเงินตราจึงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

นอกเหนือจากนั้นการบริหารของเยอรมันยังเริ่มต้นบังคับให้ประชาชนของรวันดาจำต้องจ่ายภาษีให้แก่รัฐบาลเยอรมันอย่างเป็นระบบแต่มูซิงกา มวามิของรวันดาไม่เห็นด้วยนักและออกมาต่อต้านการเก็บภาษีนี้เพราะกลัวว่าจะเป็นการบั่นทอนอำนาจของตนที่เคยมีมาอย่างยาวนานแต่ไม่เป็นผลนักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่าเป็นเพราะการเก็บภาษีแบบเยอรมันนี่เอง  ที่ทำให้ชาวฮูตูเริ่มเห็นว่าเยอรมันเป็นผู้นำผู้ปกป้องและยังเป็นกำลังที่เข้มแข็งกว่าในสังคมของพวกเขา

เยอรมันได้นำมิชชันนารีทั้งคาธอลิกและโปรเตสแตนท์เข้ามาด้วยซึ่งเป็นผู้ที่สนับสนุนให้ชาวรวันดานับถือความเชื่อและประเพณีของคริสตศาสนาชาวรวันดาบางคนยังคงทำตามความเชื่อประเพณีดั้งเดิม แต่บางคนก็เริ่มนับถือทั้งความเชื่อของทั้งดั้งเดิมและของคริสตสนาเข้าด้วยกันบางคนก็หันมานับถือคริสตสนานักบวชชาวเยอรมันได้ก่อตั้งโรงเรียนสอนศาสนาเพื่อให้การศึกษาชาวตุ๊ดซี่ผู้มีอภิสิทธิ์ภายใต้ระบบการศึกษาเช่นนี้ชาวฮูตูเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่เข้าถึงโอกาสทางการศึกษารับดับมัธยมและระดับการศึกษาที่สูงกว่านั้นชาวตุ๊ดซี่ผู้มีอภิสิทธิ์จึงเข้าถึงและได้เปรียบจากการได้รับการศึกษาจนก้าวล้ำนำหน้าชาวฮูตูมากขึ้นความเหลื่อมล้ำทางสังคมจึงเพิ่มทบทวีมากขึ้นไปอีก

การปกครองภายใต้อาณานิคมของเบลเยียม

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้น(1914-1918) ชาวเบลเยียมผู้ยังคงให้ความสนใจในดินแดนรูอันดา-อูรันดี ทำสงครามกับเยอรมันเพื่ออำนาจการปกครองเหนือภูมิภาคนี้ชาวตุ๊ดซี่หลายคนได้เข้าร่วมกองกำลังกับเบลเยียมต่อสู้กับเยอรมันซึ่งในขณะนั้นมีจำนวนน้อยกว่าและมีกำลังอำนาจน้อยกว่าจนกระทั่งถึงปี 1916 เบลเยียมจึงมีอำนาจทางทหารเหนือภูมิภาคนี้

เบลเยียมเองเริ่มต้องการรูอันดา-อูรันดีเพื่อที่เบลเยียมจะได้แลกเปลี่ยนดินแดนนี้กับพื้นที่ที่อังกฤษครอบครองอยู่
แต่ความพยายามนี้ล้มเหลวเพราะองค์การสันนิบาตชาติ(สหประชาชาติ)ก่อตั้งโดยนานาชาติหลังสงครามโลกครั้งที่
1 เพื่อรักษาสันติภาพของโลกไม่เห็นด้วย  แต่ได้ให้ดินแดนรูอันดา-อูรันดีแก่เบลเยียมภายใต้คำสั่งสหประชาชาติ
(คำสั่งอย่างเป็นทางการ)คำสั่งนี้กำหนดว่าเบลเยียมจำต้องรักษาการในดินแดนนี้และจำต้องสร้างรัฐบาลที่สมดุลซึ่งทั้งชาวฮูตูและชาวตุ๊ดซี่เป็นตัวแทนปกครองร่วมอยู่ด้วยและเบลเยียมก็ยังต้องพัฒนาการศึกษาและระบบสุขลักษณะของภูมิภาคนี้อีกด้วย    ภายในกลางยุค 1920   เบลเยียมได้ยอมรับผิดชอบอย่างเป็นทางการในการเข้าดูแลรูอันดา-อูรันดี

เบลเยี่ยมได้ว่าจ้างผู้ร่างนโยบายของรัฐซึ่งเป็นเช่นเดียวกับเยอรมันเคยทำนั่นคือปกครองโดยผ่านระบบศักดินาของชาวตุ๊ดซี่และใช้ระบบปกครองลำดับชั้นนี้บังคับใช้นโยบายของตนเบลเยี่ยมพบว่าการปกครองเช่นนี้มีประสิทธิภาพมากเพราะว่าประชาชนนั้นกระจัดกระจายไปทั่วดินแดนทำให้การติดต่อสื่อสารการเดินทางล่าช้าและยากลำบาก เบลเยียมก็กระทำการเช่นเดียวกับเยอรมันนั่นคือยังให้การสนับสนุนชาวตุ๊ดซี่มากกว่าและอนุญาตให้ชนเผ่านี้เป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองสังคม พวกเขาเชื่อว่าชาวตุ๊ดซี่ดีกว่าชาวฮูตูและควรจะได้ปกครองเพราะ “ความเหนือกว่าทางด้านสติปัญญาที่ไม่อาจปฏิเสธได้”และ “ความสามารถในการปกครอง” เบลเยี่ยมให้อภิสิทธิ์แก่ชาวตุ๊ดซี่ให้ยังคงเป็นผู้มีอำนาจในการปกครองขณะที่เจ้าอาณานิคมพยายามที่จะเข้าไปแก้ปัญหาทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ เท่านั้น

เบลเยียมได้เริ่มนำการปฏิรูปในระบบการเมืองและขยายอำนาจของตนในภูมิภาคนี้เพื่อต้องการนำการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเข้ามาซึ่งจะทำให้บริหารรวันดาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่ยังเชื่อว่าชาวตุ๊ดซี่ควรได้เป็นชนชั้นปกครอง เบลเยี่ยมได้เปลี่ยนแปลงระบบอูบูฮาเก(Ubuhake) เพื่อที่จะกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างชาวฮูตูและชาวตุ๊ดซี่ให้ลดน้อยลงโดยได้ลดจำนวนวันทำงานที่ไพร่ชาวฮูตุจะต้องทำงานให้แก่เจ้านายชาวตุ๊ดซี่ จากสองวันเป็นหนึ่งวันต่อสัปดาห์และยังได้ยกเลิกอำนาจของมวามิบางส่วนด้วย นอกจากนั้นยังมีการยกเลิกส่วยทั้งหมดยกเว้นส่วยที่จะต้องส่งให้แก่มวามิดังนั้นเจ้านายไม่จำต้องเก็บส่วยจากไพร่ผู้อยู่ในความปกครองของตนอีกต่อไป เบลเยียมหวังว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะช่วยพัฒนาระบบเศรษฐกิจภายใต้อาณานิคมนี้ได้

ในขณะเดียวกันเบลเยียมได้ทำให้การปกครองของชาวตุ๊ดซี่เข้มแข็งขึ้นมากกว่าที่เยอรมันเคยได้ทำไว้เพราะได้รวมตำแหน่งชีฟดินแดนชีฟปศุสัตว์และผู้บัญชาการกองกำลังทหารไว้ในตำแหน่งเดียว โดยวิธีนี้ได้สร้างระบบราชการที่มีประสิทธิภาพและรวบรัดกว่าเดิมขึ้นจากนั้นเบลเยียมได้ทำให้ตำแหน่งชีฟและรองชีฟทางตอนเหนือที่เป็นชาวฮูตู หมดอำนาจไปและแทนที่ด้วยชาวตุ๊ดซี่เบลเยียมยังสนับสนุนให้บุตรชายชองชีฟชาวตุ๊ดซี่และรองชีฟให้เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนเพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้มีระดับการศึกษาสูงขึ้นเป็นประโยชน์ต่อรัฐในการเข้ารับราชการ
ขณะเดียวกันเบลเยียมยังคงปฏิเสธมิให้ชาวฮูตูได้เข้าถึงการศึกษา ตัวเอย่างเช่นในปี 1925 โรงเรียนนยานซาเพื่อบุตรชายของชีฟ(Rwanda’s Nyanza Ecole pour fils des Chefs) โรงเรียนรัฐบาลในเมืองนยานซามีนักเรียน
349 คนทั้งหมดเป็นชาวตุ๊ดซี่ นโยบายนี้ยิ่งทำให้ตำนานความเป็นชนชั้นสูงสุดของชาวตุ๊ดซี่ยิ่งแตกต่างกับชาวฮูตูมากขึ้น

ในช่วงที่มหาอำนาจมีอำนาจเหนือรูอันดา-อูรันดีเบลเยียมไม่ได้ขยายอาณาเขตมากเท่าที่ชาติยุโรปอื่นได้ขยายดินแดนในอาณานิคมแอฟริกันโครงสร้างพื้นฐานของรวันดาก็ได้รับการสนใจไม่มากนัก แม้มีการสร้างระบบขนส่งขึ้นมาแต่ไม่ได้พัฒนาอุตสาหกรรมหรือการผลิตแต่อย่างใดเบลเยียมเลือกที่จะมุ่งเป้าไปที่การใช้ประโยชน์จากการดูดซับทรัพยากรของอาณานิคมแทนโดยการขนวัตถุดิบทางเรือ เช่น ชา กาแฟ พืชผล แร่ธาตุ ไปจำหน่ายที่ยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นสำคัญ

ภาวะอดอยากในปี 1928-1929 ได้ทำให้ชาวรวันดาเสียชีวิตจำนวน 5 หมื่นคนเป็นการบีบคั้นให้เบลเยียมต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาบางอย่างด้วยความหวังที่จะพัฒนาเศรษฐกิจของรวันดาและทำให้อาณานิคมกลายเป็นชาติที่พึ่งพาตัวเองได้มากขึ้นเบลเยียมจึงได้สนับสนุนการพัฒนาทางการเกษตรและการปลูกพืชทางเศรษฐกิจ โดยหวังว่าดินแดนนี้จะมีความสามารถในการผลิตอาหารที่มากเกินพอเพื่อที่ว่าหากเมื่อปีไหนเก็บเกี่ยวได้น้อยรวันดาจะไม่ต้องพึ่งพาเบลเยียมหรือประเทศอื่นในด้านอาหารการผลิตกาแฟได้เพิ่มขึ้นเพื่อที่รวันดาสามารถได้รับรายได้จากการส่งออก
แต่เนื่องจากว่าการเตรียมดินสำหรับเพาะปลูกที่เพิ่มขึ้นดินแดนที่เคยอุดมสมบูรณ์ทำงานหนักจนเกินไปและท้ายที่สุดทำให้การผลิตลดน้อยลง

ดังนั้นเพื่อที่จะไปให้ถึงจุดเป้าหมายในการให้อาณานิคมพึ่งตนเองได้เบลเยียมได้ก่อตั้งระบบการเก็บภาษีขึ้นมาใหม่ซึ่งต้องการให้ชายชาวฮูตูแต่ละคนปลูกพืชที่ไม่ได้ขึ้นตามฤดูกาลภายในที่ดิน20 เอเคอร์นอกเหนือจากที่ดินที่พวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวเพื่อบริโภคเองเบลเยียมยังทำให้ชีฟชาวตุ๊ดซี่บังคับใช้นโยบายนี้ในหมู่ประชาชนก่อให้เกิดระบบทาสถูกกดขี่ขึ้นหากชาวฮูตูไม่สามารถผลิตพืชผลให้ได้ตามที่ต้องการ เบลเยียมก็จะลงโทษชีฟชาวตุ๊ดซี่
ระบบนี้ได้กดดันให้ชีฟหาทางทำให้แน่ใจว่าประชาชนชาวตุ๊ดซี่  และฮูตูเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากพอ ดังนั้นในบางครั้งชีฟได้ทำร้ายร่างกายชาวฮูตูเพื่อบังคับให้ทำงานชีฟชาวตุ๊ดซี่หลายคนที่ถือเอาประโยชน์จากโอกาสนี้โดยยังคงให้ไพร่ที่อยู่ในการปกครองส่งส่วยให้แก่ตนนโยบายของเบลเยี่ยมยิ่งส่งผลให้ประชาชนชาวฮูตูกลับยากจนลงเรื่อยๆ แต่อภิสิทธิ์ชนอย่างชาวตุ๊ดซี่กลับร่ำรวยขึ้นตามลำดับ

การบริหารของเบลเยียมยังต้องการให้ชาวฮูตูทำงานให้กับรัฐบาลเพื่อที่จะพัฒนาอาณานิคมแรงงานซึ่งถูกควบคุมด้วยชีฟ และทำงานอย่างหนักหน่วงทำให้ชาวนาต้องออกจากนาของตนและถูกขู่เข็ญเอาผลผลิตในหมู่บ้านหนึ่งซึ่งมีประชากรจำนวน 2,024 คน ประชากรจำนวน 1,375คนกลับต้องทำงานให้กับรัฐบาลทุกวันในขณะที่การบริหารของเบลเยียมได้กดดันให้ชีฟบังคับให้ชาวฮูตูทำงานหนักแล้วเบลเยียมยังสร้างการกลไกแบ่งแยกระหว่างสองชนเผ่าให้ถ่างออกจากกันอีกด้วยแต่แทนที่ชาวฮูตูจะเกลียดชังเบลเยียมกลับรู้สึกเกลียดชังชีฟที่บังคับตามนโยบายอาณานิคมอันเข้มงวดนี้มากกว่า

นโยบายอาณานิคมของเบลเยียมยิ่งเน้นความแตกต่างทางสังคมระหว่างชาวตุ๊ดซี่และชาวฮูตูมากขึ้นไปอีก
ความเคียดแค้นเกลียดชังได้ขยายตัวและเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อฝ่ายบริหารของเบลเยียมได้ประกาศให้ประชาชนที่มีวัว10 ตัวหรือน้อยกว่าให้ถือว่าเป็นชาวฮูตู และบัตรประจำตัวประชาชนต้องระบุว่าเป็นคนของชาติพันธุ์ไหนเป็นอีกขั้นหนึ่งที่ทำให้ความเกลียดชังเติบโตขยายตัวมากขึ้นบัตรประชาชนนี้ได้ทำให้รวันดาจากที่เคยมีความยืดหยุ่นในการแบ่งแยกทางสังคมกลายเป็นการแบ่งแยกทางเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์อย่างรุนแรงบุคคลไม่สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะทางเผ่าพันธุ์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายอีกต่อไป

เบลเยียมชื่นชอบชนชั้นสูงชาวตุ๊ดซี่มากกว่าและได้แสดงออกในหลายวิธีด้วยกันภายในต้นยุค 1940ความชื่นชอบนี้ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างแพร่หลายช่วงก่อนที่จะอยู่ภายใต้มหาอำนาจยุโรป ชาวฮูตูและชาวตุ๊ดซี่มีชีวิตอยู่ร่วมกันภายในระบบลำดับชั้นอย่างหลวมๆซึ่งอนุญาตให้มีการเปลี่ยนแปลงทางชนชั้นและละทิ้งเชื้อชาติเดิมได้แต่เมื่อนโยบายของเบลเยียมเข้ามาบังคับใช้ได้สร้างระบบสังคมที่ลักษณะทางชนเผ่าและกลายเป็นตัวชี้ระดับการศึกษาอาชีพและความเป็นอยู่ของบุคคล เป็นเพราะชาติพันธุ์นี่เอง ชาวตุ๊ดซี่จึงกุมความมั่งคั่งและอำนาจไว้เกือบทั้งหมดส่วนชาวฮูตูนั้นได้รับการยัดเยียดว่าอยู่ในฐานะต่ำต้อยกว่า จนรู้สึกโกรธเคืองและคับแค้นใจตลอดมา

เบลเยียมสร้างความเปลี่ยนแปลง

ในปี 1945 สหประชาชาติซึ่งเป็นองค์กรเข้าแทนที่องค์การสันนิบาตชาติทำให้รูอันดา-อูรันดีเป็นดินแดนที่มีความน่าเชื่อถือ ในปี 1946 เบลเยียมยังคงเป็นผู้บริหารภายในดินแดนรวันดาซึ่งได้รับการคาดหวังว่าจะมีการปฏิรูปทางด้านสังคมการศึกษา และการเมืองมากกว่านี้เบลเยียมจำต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาเพื่อที่จะทำให้ชาวฮูตูได้รับประโยชน์ และลดสิทธิของชาวตุ๊ดซี่เพื่อให้ชาวฮูตูได้รับการศึกษามากขึ้นสหประชาชาติเองได้ให้แผนการแก่เบลเยียม  เพื่อเป็นแนวทางการปฏิรูปทางการเมืองในรวันดาซึ่งแผนการระบุว่าพลเรือนชาวฮูตุและชาวตุ๊ดซี่ควรจะร่วมรับผิดชอบและปกครองดินแดนนี้ด้วยกันแผนพัฒนา10ปีได้มีขึ้นในปี 1952 และเริ่มเป็นรูปธรรมขึ้นเพื่อต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านสังคมการเมืองและเศรษฐกิจ

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดได้เริ่มขึ้นเมื่อมิชชันนารีชาวเบลเยียมซึ่งเห็นการกดขี่ข่มเหงมาอย่างต่อเนื่อง
เริ่มหันมาต่อต้านการกดขี่ที่มีต่อชาวฮูตู มิชชันนารี สนองการเรียกร้องของสังคมโดยให้ปฏิรูปการศึกษาโรงเรียนคาธอลิกเริ่มเปิดรับนักเรียนทั้งชาวฮูตูและชาวตุ๊ดซี่ในระดับประถมเข้าเรียน ภายในยุค 1950ชาวฮูตูจำนวนมากขึ้นได้รับโอกาสให้ได้รับการศึกษาและเปิดกว้างต่อความคิดใหม่ๆและคิดกันว่าระบอบประชาธิปไตย อิสรภาพและความเท่าเทียมกันเท่านั้นที่จะส่งผลดีต่อชาวฮูตู

ในปี 1952 มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองเพื่อที่จะเปิดกว้างต่อการมีส่วนร่วมในรัฐบาลฝ่ายบริหารของเบลเยียมจึงกำหนดให้ชีฟและรองชีฟจะต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนแทนที่จะเป็นการแต่งตั้งโดยฝ่ายบริหารของเบลเยียมภายในปี 1956 ชายที่มีอายุเป็นผู้ใหญ่มีสิทธิได้เลือกตั้งและชาวฮูตูบางคนได้รับการเลือกให้ดำรงตำแหน่งระดับล่างของรัฐบางคนก็ได้รับเลือกให้เป็นรองชีฟ ถึงแม้รวันดาจะยังคงอยู่ภายใต้การปกครองโดยชาวตุ๊ดซี่  แต่การปฏิรูปของเบลเยียมก็ได้ทำให้ชาวฮูตูบางคนมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองของอาณานิคม

เพื่อที่จะรักษาสมดุลอำนาจและความมั่งคั่งของพลเมืองชาวรวันดาเบลเยียมได้ยกเลิกระบบอูบูฮาเก มีการแจกจ่ายฝูงสัตว์แก่ชาวฮูตูและชาวตุ๊ดซี่ แต่กระนั้นก็ตามชาวตุ๊ดซี่ก็ยังคงเป็นผู้ควบคุมการครอบครองที่ดินเป็นหลัก
ดังนั้นชาวฮูตูจึงยังคงต้องพึ่งพาชาวตุ๊ดซี่เพราะพวกเขาก็ยังคงต้องการที่ดินเพื่อเลี้ยงฝูงสัตว์และทำการเกษตร เมื่อที่ดินเป็นปัจจัยการผลิตที่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ  ชาวตุ๊ดซี่จึงยังคงมีอำนาจเหนือชาวฮูตูอยู่เช่นเดิม
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมแทบจะไม่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ชาวตุ๊ดซี่มีเหนือกว่าต่อชาวฮูตูเพราะชาวฮูตูคงต้องพึ่งพาชาวตุ๊ดซี่ จนแทบไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้น

ถึงแม้ว่าจะพยายามให้ชาวฮูตูพึงพอใจในเรื่องความเท่าเทียมกันการปฏิรูปของเบลเยียมกลับทำให้ชาวฮูตูระดับกลางที่ได้รับการศึกษาไม่พอใจกับบทบาทอันน้อยนิดของตนในสังคมเพราะเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เบลเยียมมีความสำคัญขึ้นมาภายในช่วงปลายของยุค 1950ชาวฮูตูผู้ได้รับการศึกษาหลายคนพบว่าพวกเขาได้รับโอกาสทางสังคมและทางการเมืองน้อยเพราะยังคงถูกควบคุมโดยชาวตุ๊ดซี่  และไม่มีทีท่าว่าจะสละอำนาจของตน
ชาวฮูตูจำนวนหนึ่งที่ได้รับตำแหน่งเริ่มที่จะเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาทางสังคมและการเมืองมากขึ้นในรวันดาเพื่อที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริงพวกเขาเชื่อว่าต้องหาวิธีการท้าทายชาวตุ๊ดซี่เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลง

การเคลื่อนไหวและขยายตัวของขบวนการชาวฮูตู

ชาวฮูตูที่ได้รับการศึกษาสองกลุ่มมีส่วนช่วยในการเติบโตของขบวนการการเคลื่อนไหวเพื่อความเท่าเทียมกันทางการเมืองในหลายๆวิธีกลุ่มแรกมีเป้าหมายในการล้มเลิกอำนาจปกครองของชาวตุ๊ดซี่ที่มีเหนือชาวฮูตู ชาวฮูตูเหล่านี้โดยหลักแล้วสนใจในการแบ่งปันอำนาจในตำแหน่งของชีฟและรองชีฟเท่านั้นโดยไม่ได้มุ่งหมายในการล้มล้างอำนาจในระบบลำดับชั้นส่วนกลุ่มที่สองซึ่งเชื่อว่าการแบ่งปันอำนาจนั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้จึงได้ร่วมกับนักบวชในการช่วยกันสร้างจิตสำนึกในชาติพันธุ์ให้ให้ชาวฮูตูมีความรู้สึกต่อต้านและเกลียดชังชาวตุ๊ดซี่  ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ได้แพร่ขยายไปในแถบชนบททั่วทั้งรวันดาในเวลาต่อมา

ผู้คนที่เห็นด้วยกับการปฏิรูปทางการเมืองสังคม และการแบ่งปันอำนาจมักจะพบโดยทั่วไปทางตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ ส่วนทางตอนเหนือของรวันดาพลเมืองชาวฮูตูส่วนใหญ่ไม่ได้ให้การสนับสนุนระบบการปกครองของชาวตุ๊ดซี่อยู่แล้วความรู้สึกต่อต้านเกลียดชังชาวตุ๊ดซี่ ก็ยิ่งขยายตัวและเติบโตขึ้นเรื่อยๆจนนำไปสู่การก่อจลาจล
ทั้งนี้เพราะมีพื้นฐานมาจากความเกลียดชังทางด้านชาติพันธุ์ชาวฮูตูในภูมิภาคนี้ซึ่งเกลียดชังการปกครองของชาวตุ๊ดซี่และชาวยุโรปมาแต่เดิมแล้วต้องการให้กำจัด“คนต่างชาติ”เหล่านี้ออกจากประเทศ ดังนั้นภายในรวันดามีการเคลื่อนไหวต่อต้านชาวตุ๊ดซี่ที่ชัดเจนอยู่สองกลุ่มในระยะเวลาเดียวกันและทั้งสองกลุ่มต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันที่จะลดบทบาทและกำจัดการปกครองโดยชนกลุ่มน้อยชาวตุ๊ดซี่ลง

บทบาทของโบสถ์คาธอลิค

ถึงแม้ว่าผู้นำโบสถ์ช่วงแรกจะชื่นชอบชาวตุ๊ดซี่และเปิดทางให้เป็นผู้นำ แต่เมื่อถึงยุค 1950 โบสถ์โรมันคอธอลิคเริ่มมีบทบาทในฐานะเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือชาวฮูตูเพื่อให้มีอำนาจควบคุมภายในประเทศแทนนักบวชหลายคนเห็นใจชาวฮูตูและเริ่มใช้อิทธิพลของตนในการสนับสนุนแนวทางของชาวฮูตู นักบวชชาวเบลเยียมได้ฝึกฝนชาวฮูตูให้เป็นนักบวชและปลูกฝังชาวฮูตูถึงการนับถือตนเองและความคิดเรื่องสิทธิและความเท่าเทียมกันของมนุษย์
โบสถ์ยังให้การสนับสนุนด้านการเงินทางอ้อมแก่ชาวฮูตูอีกด้วยเปิดโอกาสให้ปราชญ์ชาวฮุตูสามารถเดินทางทั่วยุโรปในระหว่างที่เดินทางพวกเขาได้อธิบายสถานการณ์ให้ประชาชนที่มีศักยภาพฟังเพื่อให้จะได้รับการสนับสนุนทางการเมืองและทางการเงินผู้นำชาวฮูตู เช่น เกรกัวร์ คายิบานดา เริ่มมีความสัมพันธ์ กับโบสถ์ และหนังสือพิมพ์หลายแห่งซึ่งสมารถใช้เป็นกระบอกเสียงในการเสนอแนวคิดความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการกดขี่ของชาวตุ๊ดซี่ ที่มีต่อชาวฮูตูและเพื่อขอการสนับสนุนจากผู้นำชาวเบลเยียมและจากชาวฮูตูคนอื่นๆจนนักบวชชาวตุ๊ดซี่เริ่มแสดงการลุกฮือคุกคามนักบวชคาธอลิค ชาวเบลเยียมตามมา

ด้วยการสนับสนุนจากโบสถ์คาธอลิค ทำให้การต่อต้านรัฐบาลของชาวฮูตูได้เริ่มท้าทายการปกครองของชาวตุ๊ดซี่อย่างต่อเนื่องนายเกรกัวร์ คายิบานดา ปราชญ์ของชาวฮูตูรวมทั้งผู้นำชาวฮูตูคนอื่นๆได้เป็นกระบอกเสียงที่ดีให้กับชาวฮูตูถึงเงื่อนไขและความกังวลในเรื่องบทบาททางด้านสังคมและการเมืองของชุมชนชาวฮูตูและเกี่ยวกับทัศนิคติต่างๆที่ไม่สามารถประนีประนอมกันได้ระหว่างอภิสิทธิ์ชนชาวตุ๊ดซี่กับชาวฮูตูโดยในเดือนมีนาคมปี 1957 คายิบานดาและผู้สนับสนุนได้กล่าวแถลงการณ์เรื่องบาฮูตูซึ่งเป็นเอกสารที่แสดงถึงการต่อต้านอย่างรุนแรงต่ออำนาจทางสังคม การเมืองและเศรษฐกิจของชาวตุ๊ดซี่ เอกสารนี้แสดงถึงความไม่ยุติธรรมต่างๆนาๆ ที่ชาวตุ๊ดซี่ผู้ซึ่งมีจำนวนเพียง15% ของประชาชนทั้งหมดได้มีอำนาจควบคุมทุกวิถีทางในสังคม เศรษฐกิจและการเมือง แถลงการณ์นี้กล่าวประณามการเลือกปฏิบัติต่อประชาชนเนื่องจากความแตกต่างทางชาติพันธุ์และต้องการให้โอกาสทางการเมืองแก่ชาวฮูตูมากขึ้น การเคลื่อนไหวได้เริ่มต้นขึ้นโดย คายิบานดาเรียกว่า“การปฏิรูปทางด้านสังคมและการเมือง”และมีเป้าหมายเพื่อที่จะนำประเทศไปสู่สังคมประชาธิปไตยอิสรภาพและเท่าเทียมกัน

ในขณะเดียวกันอภิสิทธิ์ชนชาวตุ๊ดซี่เริ่มกังวลเกี่ยวกับการปฏิรูปของเบลเยียมและการขยายตัวของขบวนการต่อต้านโดยชาวฮูตูเพราะเกรงว่าฝ่ายตนจะสูญเสียอำนาจ ดังนั้นเพื่อเป็นการชวนเชื่อและตอบโต้แถลงการณ์บาฮูตู
สภาสูงของประเทศและกลุ่มคนซึ่งประกอบด้วยปราชญ์ชาวตุ๊ดซี่ รวมทั้งสมาชิกจากศาลตุ๊ดซี่ได้ออกแถลงการณ์ในปี1957 โดยแถลงการณ์นี้ได้กล่าวถึงแผนการที่จะนำประเทศไปสู่การเป็นชาติที่ไม่พึ่งพาใครและก่อตั้งรัฐบาลใหม่
อย่างไรก็ตามรัฐบาลใหม่ที่ได้นำเสนอนั้นก็ยังประกอบด้วยเฉพาะนักการเมืองชาวตุ๊ดซี่เท่านั้น  นอกจากนั้นยังนำเสนอในแถลงการณ์ในลักษณะดูถูกดูแคลนและเหยียดหยามชาวฮูตูด้วยว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างชาวฮูตูและชาวตุ๊ดซี่คงเป็นได้แค่เพียงเจ้านายและไพร่เท่านั้นไม่มีวันที่ชาวฮูตูจะมีความเท่าเทียมหรือแบ่งปันอำนาจจากชาวตุ๊ดซี่ไปได้”

เพื่อเป็นการยืนยันหลักการของรัฐบาลตุ๊ดซี่ที่มีอำนาจปกครองในขณะนั้น โดยในปี 1958 ชาวตุ๊ดซี่ได้ตำแหน่งชีฟ 42จาก 45 ตำแหน่ง ส่วนที่เหลืออีก 3 ตำแหน่งปล่อยให้ว่างโดยไม่แต่งตั้งผู้ใด และได้ตำแหน่งรองชีฟ 549 จาก 559 ตำแหน่ง นอกจากนั้นยังมีบทบาทเข้าไปมีตำแหน่งอำนาจ82% ของตำแหน่งในระบบศาล เกษตรกรรมและสัตวแพทย์ จากเหตุดังกล่าวนี้ทำให้การเป็นตัวแทนที่ปราศจากความเท่าเทียมกันจากสองชนเผ่ากลายเป็นหัวข้อสำคัญในการสนทนาและการโต้เถียงกันชาวฮูต

หมายเลขบันทึก: 514055เขียนเมื่อ 25 ธันวาคม 2012 12:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 ธันวาคม 2012 12:28 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท