การบริการวิชาการแก่สังคม
ภายใต้นโยบาย 1 หลักสูตร 1 ชุมชน ไม่ใช่การดำเนินการที่ยึดติดกับการนำเอาศักยภาพหรือ
“จุดแข็ง” ของหลักสูตรไป “ถ่ายทอด” ให้กับชุมชนแต่เพียงฝ่ายเดียว
รวมถึงการไม่ยึดติดกับการใช้โจทย์
อันเป็น “จุดอ่อน” ของชุมชนมาเป็นประเด็นการทำงาน หากแต่ยังเปิดกว้างถึงการใช้ “จุดเด่น” หรือ “ศักยภาพ” ของชุมชนมาเป็นโจทย์ของการเรียนรู้ ผ่านระบบและกลไกของการเรียนรู้ร่วมกันเป็นที่ตั้ง
กรณีดังกล่าวนี้ปรากฏชัดเจนในโครงการ
"ศูนย์การเรียนรู้ด้านการจัดการขยะ" ของสาขาการจัดการสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร
คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์
ด้วยการขับเคลื่อนหลักของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุนันทา
เลาวัณย์ศิริ และคณะ ซึ่งดำเนินการในชุมชนบ้านส่องเหนือ ตำบลตลาด อำเภอเมือง
จังหวัดมหาสารคาม
การเลือกพื้นที่เช่นนี้ จึงเป็นการเลือก “เรียนรู้คู่บริการ”
ในพื้นที่อันมีจุดแข็งที่เกี่ยวโยงโดยตรงกับ “หลักสูตรการจัดการสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร” โดยพุ่งประเด็นไปสู่การจัดการขยะให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลเป็นหัวใจหลัก
ผมเคยได้ลงพื้นที่ร่วมสังเกตการณ์การทำงานของหลักสูตรนี้ในระยะแรกเริ่ม เห็นได้ชัดว่ามีการทำงานแบบมหกรรมจริงๆ อันหมายถึงนิสิตแทบทุกชั้นปีลงเรียนรู้ร่วมกันอย่างคึกคัก มีการแบ่งงานให้แต่ละชั้นปีเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องที่ต้องนำไป “แลกเปลี่ยนเรียนรู้” ร่วมกับ “ชุมชน” ใน 5 เรื่องหลัก คือ คือการคัดแยกขยะ ธนาคารขยะ ปุ๋ยหมักชีวภาพจากขยะอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์จากไส้เดือนดิน และการจัดทำก๊าซชีวภาพ
ตอนนั้นนิสิตจะแบ่งหน้าที่กันในแต่ละชั้นปี เพื่อจัดเตรียมข้อมูล จัดทำเอกสารเผยแพร่ จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์เพื่อใช้ “สาธิต” หรือจัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเรียนรู้ร่วมกับชาวบ้าน รวมถึงการลงพื้นที่หารือร่วมกับชุมชนเกี่ยวกับกระบวนการที่จะจัดขึ้นร่วมกัน โดยมีอาจารย์ในหลักสูตรทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา คอยกำกับและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด
การลงพื้นที่ในระยะต้นนั้น ผมมองดูแล้ว เสมือนการ “รายงาน” หน้าชั้นเรียนดีๆ นั่นเอง โดยภาคเช้า- นิสิตจะเน้นการบอกเล่า อธิบาย คล้ายรายงานหน้าชั้นเรียนนั่นแหละ เพียงแต่เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายผู้ฟังจากนิสิตไปสู่ชาวบ้านแทน พอเสร็จสิ้นการรายงานก็นำเข้าสู่กระบวนการสาธิตให้ชาวบ้านได้ดูได้ชม พอถึงภาคบ่ายก็แบ่งกลุ่มไปปฏิบัติการจริงร่วมกับชาวบ้านในสถานีหรือแปลงปฏิบัติการที่ชุมชนได้จัดเตรียมไว้รองรับ อันหมายถึงศูนย์การเรียนรู้นั่นเอง
จะว่าไปแล้วเรื่องราวต่างๆ
ที่นิสิตสื่อสารหรือถ่ายทอดไปนั้น
ต้องยอมรับความจริงว่าชาวบ้าน หรือชุมชนแห่งนี้ค่อนข้างมีความรู้ ความเข้าใจในดังกล่าวอยู่มากโขพอสมควร
ดังจะเห็นได้จากการมีชื่อเสียงในเรื่องเหล่านี้มานานแล้ว
จากการจัดวงโสเหล่ในวันประเมินผลนั้น ค้นพบชัดเจนว่านี่คือกระบวนการของการเลือกพื้นที่ในมุมของการหยิบจับเอา “จุดแข็ง” (ศักยภาพ) ของชุมชนออกมาเป็นโจทย์การเรียนรู้ร่วมกับมหาวิทยาลัย กล่าวคือ ชุมชนมีความรู้ในเรื่องของเกษตรอินทรีย์อยู่แล้วในระดับหนึ่ง รวมถึงมีการรวมกลุ่มเกี่ยวกับเรื่องการจัดการขยะมาแล้วระยะหนึ่ง
รวมถึงความสำเร็จในมิติของการเลือกพื้นที่การเรียนรู้คู่บริการที่มีจุดเด่นในเชิงศักยภาพอยู่แล้ว เพื่อให้นิสิตได้เรียนรู้จากผู้รู้ในชุมชนโดยตรง ผสมผสานกับการหนุนเสริม หรือเติมเรื่องใหม่ๆ ให้กับชุมชนควบคู่กันไปอย่างเป็นระบบ และเน้นกระบวนการแบบมีส่วนร่วมเป็นหัวใจหลักของการขับเคลื่อน
ห้องเรียนชุมชน ..... เรียนรู้ร่วมกันกับปราชญ์ ชาวบ้านดีมาก นะคะ
การบริการวิชาการแก่สังคม ภายใต้นโยบาย 1 หลักสูตร 1 ชุมชน
ไม่ใช่การดำเนินการที่ยึดติดกับการนำเอาศักยภาพหรือ
“จุดแข็ง” ของหลักสูตรไป “ถ่ายทอด”
ให้กับชุมชนแต่เพียงฝ่ายเดียว
รวมถึงการไม่ยึดติดกับการใช้โจทย์อันเป็น “จุดอ่อน” ของชุมชนมาเป็นประเด็นการทำงาน
หากแต่ยังเปิดกว้างถึงการใช้ “จุดเด่น” หรือ “ศักยภาพ”
ของชุมชนมาเป็นโจทย์ของการเรียนรู้
ผ่านระบบและกลไกของการเรียนรู้ร่วมกันเป็นที่ตั้ง
ขอบคุณ "คุณแผ่นดิน" เป็นอย่างยิ่ง
สำหรับชุดความคิด ที่ตอบโจทย์ที่ค้างคาใจข้าพเจ้ามานานแสนนาน
ขอบคุณจริงๆ
แวะมาชื่นชมครับ
ชื่นชมค่ะท่านแผ่นดิน เป๊ะมากสมกับ เป็น blogger ขวัญใจชลัญนะนี่
มาชื่นชมกิจกรรมสู่ชุมชนของท่านอาจารย์นักพัฒนาค่ะ
หลายๆ โครงการสามารถนำไปต่อยอดให้เข้ากับหลายๆ ชุมชนได้ดีเยี่ยมเลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ
เป็นอีก 1 เรื่องดี ๆ ที่ขออนุญาตนำไปใช้ในชุมชนด้วยจ้ะท่านอาจารย์ ขอบคุณจ้ะ
ขอบพระคุณ อ.ดร.เปิ้ล. ที่แวะมาให้กำลังใจ และสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน. ซึ่งเรียนรู้โดยตรงกับปราชญ์ชาวบ้าน.
กระบวนการเหล่านี้ เป็นการเสริมพลังให้กันและกันไปในตัว..
เชื่อว่าเมื่อนิสิตได้ลงมือทำเองมันจะเป็นสิ่งที่พวกเขาภาคภูมิใจ.....และเป็นพลังที่จะเรียนรู้และพัฒนาต่อไป