ประวัติศาสตร์ฟุตบอลสตูล จากมุมที่มองไม่เห็น (2)


ตลอดระยะเวลายี่สิบกว่าปี อุดมการณ์การสร้างเยาวชนไม่เคยเปลี่ยนแปลงไม่ว่าฟุตบอลสตูลจะตกต่ำ หรือประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเท สร้างเยาวชนรุ่นแล้วรุ่นเล่าให้กับสังคมของเราตลอดมา

  อ. อนิรุทธ์ กอมะ และความสำเร็จของฟุตบอลสตูลในอดีตจนปัจจุบัน


  บทความชิ้นนี้นำเสนอความเป็น อ. อนิรุทธ์ กอมะ  ที่เกี่ยวกับบุคลิก อุดมการณ์ และความเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงแง่คิด ข้อมูล และทิศทางการทำทีมของท่านตามทัศนะของผู้เขียน ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ท่านได้นำความสำเร็จด้านกีฬาฟุตบอลมาสู่จังหวัดสตูลและประเทศชาติทั้งทางตรง และทางอ้อม[1]

  อ.อนิรุทธ์ หรือที่รู้จักกันในนาม "ครูฮิม" เป็นคนหนึ่งที่มีความรักในฟุตบอลเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นคนรักฟุตบอลอยู่ในสายเลือดเลยก็ว่าได้ ท่านเป็นคนที่มีจุดยืนของตัวเอง ท่านทำฟุตบอลไม่ได้ต้องการเงินทองหรือคำเยินยอจากผู้คนเป็นสำคัญ แต่ต้องการสร้างเยาวชนในจังหวัดสตูลให้เติบโตมาเป็นบุคคลที่มีประโยชน์ต่อสังคม รู้จักการอยู่ร่วมกันในสังคม ท่านต้องการสร้างคนให้เป็นคนที่สามารถมีส่วนสำคัญในสังคมไม่ว่าด้านใดด้านหนึ่ง ด้วยหัวใจที่มีความรักในฟุตบอลและอย่างเห็นอนาคตของเยาวชนและลูกศิษย์ ท่านได้ทุ่มเทเวลา แรงกาย กำลังทรัพย์ และความสามารถในการปลุกปั่นเยาวชนให้เติบมาเป็นนักฟุตบอลที่ดีให้กับประเทศชาติและจังหวัดสตูล ด้วยการที่ท่านไม่คล้อยตามกระแสสังคม กระแสการเมือง และกระแสเงิน ท่านไม่ได้ต้องการทำทีมฟุตบอลเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทองหรือลาภยศ หากการทำทีมฟุตบอลเป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือให้กับกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง การเสียสละของท่านก็คงเหนื่อยป่าว ไม่บรรลุผลลัพธ์ในการสร้างคนและทีมเพื่อสังคมอย่างแท้จริง ด้วยการที่ท่านเป็นคนมีจุดยืนอย่างหนักแน่ ท่านได้นำความสำเร็จทางด้านฟุตบอลมาให้กับสตูลและประเทศอย่างกว้างขวาง[2]

  หากมองในบุคลิกของท่านเราจะเห็นว่าท่านเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับฟุตบอลด้วยหัวใจจริงๆ ทุกวันที่ท่านซ้อมฟุตบอลให้กับเด็กๆ ลูกศิษย์ของท่านที่ รร. สตูลวิทยา (รร. สว.) ท่านไม่ได้รับค่าเหนื่อย ค่าจ้างในงานเหล่านี้เลย แต่ท่านก็มีความสุขในงานชิ้นนี้ ผู้เขียนของถามหน่อยว่า จะมีใครอีกใน จ.สตูล ที่มีความเสียสละอย่างท่าน?[3]

  ท่านไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไปทำทีมชุดใหญ่ของ จ.สตูล เพราะท่านมีความสุขดีกับการสร้างเด็กขึ้นมารับใช้ประเทศชาติและบ้านเกิด หากเราอยากจะเข้าใจความเป็น อ. อนิรุทธ์ให้มากขึ้น เราคงต้องศึกษาปรัชญาและอุดมการณ์การทำทีมของท่านอย่างลึกซึ้ง ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่า ปรัชญาและอุดมการณ์ของท่านนี้แตกต่างกับบุคคลอื่นๆ เป็นแน่นอน

  ตลอดระยะเวลาที่ท่านมาอยู่ จ.สตูล[4] ท่านได้ปลุกปั่นเยาวชนสตูลรุ่นแล้วรุ่นเล่าให้เติบโตเป็นนักฟุตบอลที่ดี เป็นพลเมืองที่มีประโยชน์ต่อสังคม มีความมีน้ำใจ สร้างคนให้มีความกตัญญู เป็นคนที่ไม่ลืมที่มาของตัวเอง รู้จักการใช้ชีวิตในสังคม ท่านไม่ได้สอนนักฟุตบอลให้เตะบอลเก่งอย่างเดียว แต่สอนการใช้ชีวิตที่ดี ที่มีคุณธรรม และเป็นปัจเจกบุคคลที่มีคุณภาพต่อสังคมอีกด้วยน้อย สะอาดแก้ว

  หากเรามองย้อนไปในอดีต เยาวชน จ.สตูลกี่คนแล้วที่ผ่านการบ่มเพาะจากสถาบันของ อ.อนิรุทธ์ รุ่นแล้วรุ่นเล่าได้ถูกผลิตสู่สังคม บ้างได้มีโอกาสขึ้นไปรับใช้ประเทศชาติ แต่ส่วนใหญ่แล้วผลผลิตจากสถาบันของท่าน ล้วนเป็นตัวสำคัญให้กับทีมจังหวัดสตูลในทุกยุคทุกสมัยอย่างไม่ขาดสาย ผู้เขียนขอเริ่มเกริ่นจากรุ่นของ น้อย สะอาดแก้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในศิษย์เอกของท่าน ได้มีโอกาสขึ้นไปรับใช้ประเทศชาติในชุดเยาวชนทีมชาติไทยชุดเดียวกับ ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ในรุ่นเดียวกับน้อยนั้นศิษย์เอกของท่านก็มี อะหมาด ดีนายัง, ศิลา โดยพิลา และเปเล่ (ชื่อเล่น) ผู้ซึ่งได้ถูกส่งไปเรียนที่ รร.ดังใน กทม. นั่นคือ รร.สาธิต มศว. รุ่นราคราวเดียวกันอีกก็มี อัยรัสต์ แกสมาน (เยาวชน ๑๖ ปีทีมชาติไทย, รร. อัสสัมชัญกรุงเทพฯ), เรน เตบสัน, และ พิทักษ์ ใจสมุทร หลังจากรุ่นนั้นมาก็มีพิเชษฐ์ สาดีน, มูฮัมหมัดฮาเฉ็ม หมาดสกุล, อานิฟ อับดุลกานัน, ประสิทธ์ แประโพระ, เจ๊ะแหม โซะประจิน, อำนาจ นาฮับผล และในยุคนี้ก็มี อนันต์ ยาง๊ะ, อนิรัต มัจฉา, ทอป สมใจ, อดุล หมื่นสมาน, ไชยา นัครี และอีกสามคนที่ท่านได้ส่งไปเรียน รร. กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย นั้นก็คือ สอปอง สอเหลบ, อดิศักดิ์ กานู และนิรันดร์ สืบเหม และอีกหลายคนที่ไม่ได้เอ่ยนาม ณ ที่นี้[5] เยาวชนเหล่านี้ได้มีโอกาสในการเรียนต่อในที่ดีๆ ได้มีโอกาสเจอและค้นพบประสบการณ์ใหม่ๆ ได้พบปะผู้คนอย่างกว้างขวาง นี่คือสิ่งหนึ่งนอกเหนือจากการเล่นฟุตบอลในสนาม ที่ อ. อนิรุทธ์ ได้ทำให้เกิดประโยชน์กับลูกศิษย์ของท่าน

อดิศักดิ์ กานู


  บุคลิกความเป็นตัวท่านอีกอย่างหนึ่งคือ ท่านเป็นคนที่ “ไม่ลืมที่มา” ของตัวเองและย้ำลูกศิษย์ของท่านอยู่เสมอให้มีความ “กตัญญูกตเวที” ต่อพ่อแม่และครูบาอาจารย์ ในสมัยก่อนครั้งที่ท่านยังขับรถมอเตอร์ไซฮอนด้า Nova สีดำไปสอนที่ รร.สว. หน้ารถของท่านจะติดสติกเกอร์ปรัชญาเตือนใจไว้หนึ่งประโยคสั้นๆ (จนกระทั่งถึงวันนี้สติกเกอร์อันนั้นก็ยังติดอยู่ที่รถของท่านคันเดิม) คำนั้นคือ “ศิษย์มีครู” คำสั้นๆ แต่แฝงด้วยความหมายที่ลึกซึ้งและกินใจมากทีเดียว หากใครมองแบบเผินๆ คงไม่เข้าใจ แต่นั้นอย่างน้อยแสดงให้เห็นว่า ท่านเป็นคนมี “อุดมการณ์ในการสร้างคนอย่างเป็นระบบ” ไม่มีใครหรอกที่จะเติบโตมาไม่มีใครสอน ไม่มีสถาบัน การก้าวไปข้างหน้านั้นล้วนมาจากพื้นฐานที่ถูกบ่มเพาะมาทั้งสิ้น ดังนั้นการก้าวไปข้างหน้าของเราทุกคนนั้นย่อมไม่ควรลืมกำพืดและที่มาของตัวเองว่าใครเป็นอาจารย์ที่เคยพร่ำสอนวิชาให้ ความสำนึก ความกตัญญูรู้คุณล้วนเป็นสิ่งที่ท่านพร่ำสอนให้กับศิษย์ของท่านทุกรุ่นทุกสมัย[6]

  ในวันนี้ท่านก็ยังไม่หยุดการสร้างเยาวชนให้กับ จ.สตูลและประเทศชาติ จะมีอาจารย์คนใหนอีกในจังหวัดสตูลที่มีความคงเส้นคงวาเหมือนกับท่าน! ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีหรือยี่สิบกว่าปี อุดมการณ์การสร้างเยาวชนไม่เคยเปลี่ยนแปลงไม่ว่าฟุตบอลสตูลจะตกต่ำ หรือประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเท สร้างเยาวชนรุ่นแล้วรุ่นเล่าให้กับสังคมของเราตลอดมา รร.สว. เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของท่านที่คอยบ่มเพาะดาวรุ่งสู่ฟุตบอลไทย ความทุ่มเทของท่านไม่ได้ต้องการอะไรจากใคร มันเป็นสปิริตที่อยู่ในตัวของท่าน เราสามารถไปดูได้ทุกช่วงเย็นที่สนามฟุตบอล รร.สว. เราจะเห็นท่านเข็มงวดกวดขันกับลูกศิษย์ในการเป็นเลิศทางด้านฟุตบอล ความคงเส้นคงวาในการทำงานของท่านล้วนแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธ์ใจ ความมุมานะ ความตั้งใจจริงและความเสียสละ โดยไม่หวังอะไรตอบแทน[7] ดังนั้นการทำงานและบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ของท่านนี้ ลูกศิษย์ของท่านควรเอาเป็นแบบอย่างในการเป็นนักฟุตบอลและโคช้ที่ดียิ่งนัก

  ในการทำงานของท่านบ้างก็เจออุปสรรค บ้างก็ได้รับการสนับสนุน บ้างก็เจอคำติชม แต่ด้วยบุคลิกความเป็นผู้นำของท่าน ท่านทำงานด้วยความ "โปร่งใส" มาตลอด มีการวางแผนที่เป็นระบบ วางกรอบและเป้าหมายชัดเจน สิ่งเหล่านี้สามารถพิสูจน์ได้จากการทำทีมของท่านในระดับเยาวชนและทีมชุดใหญ่ ท่านไม่เคยมีประวัติเสียในด้านการเงินเลย การทำทีมของท่านไม่ได้เพื่อการหาเลี้ยงชีพ ไม่ได้ทำเพื่อปากท้องของท่าน แต่ “เพื่อปากท้องและอนาคตของลูกศิษย์ของท่าน” สำหรับศิษย์ของท่านที่รักในฟุตบอล ท่านไม่ได้ให้ลูกฟุตบอลกับลูกศิษย์ของท่านเป็นของขวัญแต่ท่านสอนการเล่นฟุตบอลและการเป็นนักฟุตบอลที่ดีแก่ลูกศิษย์ของท่านเป็นสำคัญ ในแต่ละครั้งในการทำทีม ท่านล้วนต้องดึงเงินในกระเป๋าของท่านเองทุกครั้ง ในการเลี้ยงอาหาร ในการเดินทาง ในด้านอุปกรณ์การซ้อมและแข่งขัน เราจะเห็นว่ารอบข้างท่านนั้นล้วนมีสิ่งที่ท้าทายมากมาย หากท่านไม่เสียสละเงินทอง ลูกศิษย์ของท่านก็คงต้องเดือดร้อนหรือไม่ได้รับความสะดวกในเรื่องต่างๆ ในการซ้อมและแข่งขัน เราจะเห็นว่าจังหวัดสตูลไม่ได้มีผู้สนับสนุนฟุตบอลอย่างจิงจัง เช่นไม่มีเงินสนับสนุนที่แน่นอน ไม่มีสถานที่ ไม่มีสนามฟุตบอลที่มีคุณภาพมาตฐานและอื่นๆ แต่อุปสรรคเหล่านี้ อ.อนิรุทธ์ก็ขจัดและข้ามมันได้ตลอดมา

  ในการไปแข่งฟุตบอลเกือบทุกครั้งท่านไม่เคยเลยที่จะเอาเงินของนักเตะ มีแต่จะต้องออกเงินจากกระเป๋าของท่านเพราะเงินที่ทางสมาคม/ผู้สนับสนุนให้มา ไม่เคยพอกับการใช้จ่าย ลูกศิษย์ของท่านก็คงทราบกันดีว่าท่านเสียสละแค่ไหน[8] ในการทำทีมหรือพาทีมไปแข่ง "รถกระบะคันสีขาว" นั้นเป็นยานพาหนะคู่ใจของท่านในการพาลูกศิษย์ไปแข่งฟุตบอลทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่าจะเป็นภาคไหนๆ กระบะคู่ใจของท่านรับใช้ทีมเยาวชนจ.สตูลมาตลอด ด้วยอุปสรรคนานับประการท่านก็ไม่ได้ย่อท้อต่อสิ่งเหล่านั้น ตั้งหน้าตั้งตา ยืนหยัด สร้างคนให้กับสังคมต่อไป

  ณ วันนี้บรรดาลูกศิษย์ของท่านได้เติบโตและมีส่วนร่วมในสังคมอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด ทำงานสาขาอะไรก็ตาม วิชาฟุตบอลศาสตร์และศาสตร์แห่งการใช้ชีวิตที่ท่านได้ให้ไว้กับลูกศิษย์ของท่านคงจะมีประโยชน์ในการใช้ชีวิตไม่มากก็น้อย ด้วยศาสตร์แห่งฟุตบอลได้นำพาหลายๆ คนสู่การงานที่ดีๆ มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ได้ทำประโยชน์ต่อสังคม ได้สร้างความสุขให้กับผู้ชม ได้สร้างสีสันในกับวงการฟุตบอลบ้านเรา ความสำเร็จของบรรดาลูกศิษย์ของท่านคือความภาคภูมิใจของท่าน ถึงแม้ว่าท่านไม่เคยที่จะพูดออกมา แต่ทุกครั้งที่ท่านได้ยินข่าวคราวของลูกศิษย์ของท่าน ผู้เขียนคิดว่า มันก็ทำให้ท่านยิ้มได้เสมอ แต่วันนี้จะมีซักกี่คนที่ยังจำคติในการใช้ชีวิตได้บ้างกับคำว่า “ศิษย์มีครู” คำที่ท่านได้เน้นย้ำถึงความกตัญญูต่อพ่อแม่และครูบาอาจารย์

  หลายคนใน จ.สตูลไม่น้อยคงอยากให้ท่านกลับมาทำทีมจังหวัดชุดใหญ่เพื่อที่จะทำทีมให้ดีขึ้นและประสบความสำเร็จตามความคาดหวังของชาวสตูล สิ่งหนึ่งที่ท่านคำนึง ผู้เขียนคิดว่า ถ้าท่านจะทำทีม ท่านจะทำให้กับชาวสตูลทุกคนไม่ใช่กลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากระบบการบริหารทีมของจ.สตูลยังไม่ชัดเจน ท่านก็จะยังคงไม่เข้ามาอยู่ในระบบที่ยังมีปัญหาและคลุมเครือ เป้าหมายของท่านนั้นชัดเจนทุกครั้งที่เริ่มทำงาน แต่สิ่งที่ไม่ชัดเจนสำหรับทีมสตูลคือกรอบในการบริหารงาน ข้อตกลงและการคงเส้นคงวาของผู้บริหารทีม ณ วันนี้คงไม่มีใครเหมาะสมในการเข้ามาคุมทีมจังหวัดสตูลเท่า อ.อนิรุทธ์แล้ว หากแต่ปัญหานั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวท่านแต่อยู่ที่ความพร้อม ความตั้งใจจริง ความจริงใจ ความคงเส้นคงวาและกรอบการบริหารทีมของผู้บริหารทีมมากกว่า

  การงานชิ้นหนึ่งชิ้นหนึ่งชิ้นใดจะประสบความสำเร็จนั้น วิธีการและกระบวนการในการทำงานเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุถึงเป้าหมาย ด้วยประสบการณ์และการทำงานของอ.อนิรุทธ์นั้นแสดงให้เห็นถึงกระบวนการในการสร้างคนอย่างเป็นระบบ สร้างทีมอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถการันตีได้ว่าหากท่านเข้ามารับหน้าที่แล้วที่จะประสบความสำเร็จ แต่สิ่งที่ท่านได้ทำมาล้วนเป็นสิ่งประจักษ์ต่อทุกคนแล้วว่า สิ่งที่ท่านลงมือทำนั้นล้วนเข้าใจได้ถึง "เหตุและผล" วิธีการทำงานอย่างโปร่งใสมีประสิทธิภาพ มีการวางแผนที่ดี มีการวางเป้าหมาย มีการกำหนดบทบาทและกรอบการทำงานอย่างชัดเจน  ผลสุดท้ายจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นเราทุกคนไม่สามารถรู้ได้ แต่เราทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบ หากเราประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่ อ. อนิรุทธ์ประสบความสำเร็จแต่เราทุกคนต่างหากที่ได้มาซึ่งความสำเร็จนั้น หากมันล้มเหลวเราต้องกลับไปดูว่ามันล้มเหลวที่ตรงไหนและเพราะอะไร ต้องสามารถอธิบายได้ด้วยเหตุและผล อะไรคือปัจจัยของความล้มเหลวและแก้ปัญหาไปด้วยกัน นี่ต่างหากคือการร่วมมือร่วมใจกันของเราชาวสตูล

  ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่าง ๒ ตัวอย่างเกี่ยวกับความเหมาะสมของโค้ชและความสำเร็จของทีม ตัวอย่างแรกคือความลงตัวระหว่าง เซอร์อเล็ก เฟอกูสันและแมนยูฯ เฟอกูสันคือโค้ชที่เหมาะสมที่สุด ดีที่สุดสำหรับแมนยูฯ ท่านได้อยู่ร่วมกับทีม ปั้นเยาวชน ให้โอกาสเยาวชนจนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักฟุตบอลระดับโลก[9] ท่านทุ่มเท รักสโมสรของท่านดั่งกับบ้านหลังที่สอง สโมสรเองก็เข้าใจและไม่เคยคิดที่จะหาผู้จัดการทีมคนใหม่มาแทนที่ถึงแม้ว่า ทีมจะไม่บรรลุถึงเป้าหมาย เฟอกูสันคือ “สัญลักษณ์” ของแมนยูอย่างลงตัว หากไม่มีเฟอกูสันแมนยูไม่สามารถยิ่งใหญ่ได้เหมือนทุกวันนี้ และหากไม่มีแมนยูฯเฟอกูสันก็คงยากที่จะได้รับการยอมรับจนถูกขนานนามว่า “เซอร์” นี้คือความลงตัว ความเหมาะสมระหว่างสโมสรและโค้ช[10] เฟอกูสันซื่อสัตย์ ภักดีต่อแมนยูฯตลอดมา นักเตะรุ่นแล้วรุ่นเล่าผ่านเข้ามาล่าความสำเร็จแล้วก็ออกไปแต่ท่านและสโมสร ยังคงอยู่สร้างประวัติศาตร์ต่อไป 

  ตัวอย่างที่สองคือ อาร์เซน แวนเกอร์และอาเซน่อล แวนเกอร์ตั่งแต่เข้ามาทำงานที่อาเซน่อลก็ตั้งหน้าตั้งตาสร้างนักเตะโนเนมให้กลายเป็นนักฟุตบอลระดับโลกหลายต่อหลายคน[11] ด้วยเอกลักษณ์และอุดมการณ์ในการทำทีมของท่าน ทำให้สโมสรและแฟนบอลเข้าใจและไม่เคยเรียกร้องให้เปลี่ยนโค้ชเลย ถึงแม้ว่าท่านจะล้มเหลวบ้างในการคว้าแชมป์ในถ้วยต่างๆ แต่ความลงตัวระหว่างแวนเกอร์และอาเซน่อลนั้นคือ “เอกลักษณ์” ของสโมสรแห่งนี้ไปแล้ว ความภักดีและซื่อสัตย์ต่อทีมของแวนเกอร์ได้บ่งชี้ให้เห็นว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่มีใครที่เหมาะสมกว่าเขาแล้วในการรับตำแหน่งนี้ของอาเซน่อล นี่คือความลงตัวอย่างเป็นเอกลักษณ์ของโค้ชและสโมสรอย่างน่ามหัศจรรย์[12]

  จากสองตัวอย่าง ๒ โค้ช ๒ สโมสร ได้แสดงให้เห็นถึงบทเรียนแห่งความสำเร็จในหลายๆด้าน จังหวัดสตูลเราน่าจะเปิดบทเรียนบทนี้ดูบ้างว่ามันมีความสำคัญต่อความสำเร็จของทีมแบบ "ยั้งยืน" แค่ไหน การที่จะประสบความสำเร็จระยะยาว การสร้างทีมและการสร้างเยาวชนนั้นต้องการคนที่มี “เอกลักษณ์” และ “ความคงเส้นคงวา” ไม่ใช่แค่เหมือนสโมสรอื่นๆ ที่เปลี่ยนโค้ชเพียงเพื่อต้องการแค่ความสำเร็จข้ามคืนแต่ไม่มีความภักดีและซื่อสัตย์ต่อทีม ไม่ใช่แค่ทำงานเพียงเพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตัวหรือพวกพ้อง เราชาวสตูลต้องมองให้ลึกและไกลถึงความสำคัญและความสำเร็จอันนี้ที่ต้องการบุคคลที่มี “เอกลักษณ์” มีอุดมการณ์และซื่อสัตย์ต่อทีมและแฟนบอล ณ วันนี้ ความลงตัวระหว่างทีมฟุตบอลสตูลและ อ.อนิรุทธ์นั้นมีความเหมาะสมมากกว่า เฟอกูสันและแมนยู แวนเกอร์และอาเซน่อลเสียอีก ลูกศิษย์ของท่านนั้นเต็มบ้านเต็มเมืองที่พร้อมกลับมาสร้างมายิ่งใหญ่ให้กับจังหวัดสตูล ไม่ว่าจะในฐานะทีมงาน ผู้ช่วยผู้สนับสนุน นักเตะ หรือแฟนบอลที่อยากเห็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของจ.สตูลได้รับการจารึก หากแต่ผู้บริหารทีมและบรรดาแฟนบอลในปัจจุบันมีความพร้อมมากแค่ไหนในการที่จะเห็นความยิ่งใหญ่อันนี้ไปด้วยกัน เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างเป็นรูปธรรม[13] หากแฟนบอลเข้าใจถึงความสำคัญของโค้ชและความสำเร็จของทีม อย่างน้อยก็ควรแสดงออกในทุกหนทางให้ทุกคนทราบว่า เราต้องการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของฟุตบอลสตูลในยุคนี้ไปด้วยกัน ด้วยการนำทีมของ อ.อนิรุทธ์ The Magnificant.

หมายเหตุ บทความชิ้นนี้ดัดแปลงมาจากการสนทนาในเว็ปบอร์ด www.satununited.com เรื่อง "เรื่องราวของ อ. อนิรุทธ์เกี่ยวกับฟุตบอลสตูล" ปี 2553

 

 

 

 


[1] ข้อมูลได้จากการสังเกตุการณ์ พูดคุย สัมภาษณ์และวิเคราะห์จากหนังสือพิมพ์สยามกีฬา และเว็ปไซต์กีฬาต่างๆ

[2] ซึ่งถ้ามองกลับไปถึงปี 2533 นับตั่งแต่ทีมฟุตบอลจังหวัดสตูลได้แชมป์ฟุตบอลยามาฮ่าฯ ก็เป็นเวลากว่า 22 ปีแล้ว

[3] ความคงเส้นคงวาของท่านเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้พบเห็นและติดตามฟุตบอลเยาวชน จังหวัดสตูลเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นอาจารย์ธรรมดาคนหนึ่งในโรงเรียนประจำจังหวัด แต่ผลงานของท่านนับเป็นคุณูประการอันใหญ่หลวงแก่วงการฟุตบอลสตูลและประเทศ ชาติ

[4] ข้อมูลไม่แน่ชัด แต่ที่ทราบคือก่อนปี 2533 เพราะท่านเป็นผู้ที่จัดทีมจังหวัดสตูลในการแข่งขันฟุตบอลแห่งชาติรอบคัด เลือกที่จ.ตรัง ข้อมูลได้จากการสัมภาษณ์ผู้ใหญ่วงการฟุตบอลจังหวัดสตูล

[5] รวมถึง อันวาร์ กอมะ ที่เข้าเรียนและเล่นฟุตบอลให้ รร.อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย และรร. กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยตามลำดับ และธนัตถ์ วงศ์ศุภลักษณ์ อดีตเยาวชนทีมชาติไทยที่เข้าเรียน รร. อัสสัมชัญศรีราชา

[6] ความกตัญญูกตเวทีล้วนเป็นหนึ่งในค่านิยมและหลักคำสอนของศาสนาพุทธ อิสลามและศริสต์

[7] ความเสียสละ ความจริงจังและจริงใจของท่านสามารถพิสูจน์ได้จากความไม่ยอมละเลิกและความไม่ ยอมแพ้ต่อโรคประจำตัวที่โหมโรงเข้าหาท่าน แม้ว่าท่านจะเจ็บป่วย ท่านก็ยังทำหน้าที่ซ้อมฟุตบอลให้กับเยาวชนสตูลตลอดมา

[8] โดยเฉพาะทีมเยาชนจังหวัดสตูลในยุคแรกๆ

[9] ไม่ว่าจะเป็น เดวิด เบ็คแฮม พอล สโคล ไรอัน กิ๊ก เป็นต้น

[10] นี่คือความสัมพันธ์เชิงบวกที่น่าสนใจยิ่งนัก และถือว่าเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จระยะยาวอย่างมีนัยยะสำคัญ

[11] ยกตัวอย่างเช่น เทอรี อองรี โรแบ ปิเรส และเพทริก วิเอร่า เป็นต้น

[12] คือความสัมพันธ์ระหว่างโค้ชและทีมที่น่าอัศจรรย์

[13] ผู้บริหารมีความจริงจังและจริงใจมากแค่ไหนดูได้จากงบประมาณในการทำทีม และเงินเดือนของโค้ชและนักเตะ


 

หมายเลขบันทึก: 511675เขียนเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 23:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 กรกฎาคม 2013 01:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มาจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท