บทความชุดนักการศึกษาโลกเรื่องที่
2
ฌ็อง-ฌัก
รูซโซ (Jean-Jacques Rousseau): ผู้ปลดแอก
เฉลิมลาภ
ทองอาจ
โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ฝ่ายมัธยม
คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อครั้งที่อยุธยารบพุ่งกับพม่าในคราวเสียกรุงทั้งที่สองนั้น
ฝากข้างตะวันตกซึ่งตรงกับศตวรรษที่ 18 กลับมิได้เผชิญภาวะสงครามแย่งชิงอำนาจด้วยการใช้กำลังอาวุธแต่อย่างใด
แต่เป็นการต่อสู้ด้วยหลักปัญญาแทน เพราะเป็นสมัยที่ถือได้ว่า มีความรุ่งเรืองเฟื่องฟูของปรัชญาอย่างยิ่ง
จนต้องขนานนามว่าเป็นยุคแห่งเหตุผล (The Age of Reason) หรือยุคเรืองปัญญา
(The Age of Enlightenment)
อันนำไปสู่การแสวงหาเหตุผลหรือสัจจะที่แท้
ที่ไม่พึ่งพิงความเชื่องมงายหรือประเพณีอันล้าหลัง
จนเป็นฐานสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการปฏิวัติในยุโรป อเมริกาและอีกหลายประเทศ นักปรัชญาและนักการศึกษาคนสำคัญ ผู้มีอิทธิพลต่อการปฏิวัติความคิดในยุคดังกล่าวนั้นก็คือ
ฌ็อง-ฌัก รูซโซ (Jean-Jacques Rousseau) ผู้เสนอทฤษฎี “คนเถื่อนใจธรรม”
อันมีชื่อเสียง
Jean-Jacques Rousseau (28 June 1712 – 2 July 1778)
รูซโซเป็นชาวฝรั่งเศสที่เกิดในสวิซเมื่อปี
ค.ศ. 1712 หลังจากเขาเกิดได้เพียงสัปดาห์เดียว มารดาก็เสียชีวิต
เขาจึงต้องอาศัยอยู่กับบิดาจนอายุได้ 10 ปี
จากนั้นย้ายจากกรุงเจนีวาไปอาศัยอยู่ ณ เมืองลีอง (Lyons) ที่นั่นเขาได้ถูกทิ้งไว้กับญาติ
และต้องเปลี่ยนที่อยู่บ่อยครั้ง ด้านการศึกษาของ
รูซโซนั้นถือว่าล้มเหลว เพราะแม้เขาจะเรียนและฝึกหัดในหลายอาชีพ
ไม่ว่าจะเป็นนักกฎหมายหรือ ช่างแกะสลัก แต่ดูเหมือนว่าทุกอาชีพก็ดูจะไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลย
แต่โชคดีว่า เขาได้พบกับ มาดาม เดอ วาเรน
(Madame de Warens) ซึ่งได้กลายมาเป็นสตรีผู้มีพระคุณ (benefactress) ของเขา เพราะเธอได้ชักนำเขาเข้าสู่สังคมของสุภาพชนและบัณฑิต ซึ่งที่นี่เอง
รูซโซได้เรียนรู้
พบปะและสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักเขียน
นักดนตรี นักปรัชญา เขาจึงค่อยๆ ศึกษาแนวคิดต่างๆ
และนำมาพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม จากการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมชั้นสูง
ทำให้รูซโซเห็นอิทธิพลของสังคมที่มีต่อปัจเจกบุคคลมากยิ่งขึ้น และสิ่งนี้เองที่ทำให้เขาเกิดความคิดว่า
สังคมนี้คือสิ่งที่ส่งผลต่อธรรมชาติของมนุษย์ และธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ต้องถูก บิดเบือนไป ไม่ใช่สาเหตุจากความชั่วร้ายภายในจิตใจ แต่เป็นสังคมต่างหากที่บีบบังคับและกดดันให้มนุษย์ต้องเป็นเช่นนั้น
ทฤษฎีสำคัญของรูซโซคือแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติเดิมแท้
(original state of nature) ซึ่งเชื่อว่า
มนุษย์ทุกคนมีธรรมชาติดั้งเดิมที่เป็น “คนเถื่อนใจธรรม” (noble savages) กล่าวคือ
แม้ว่าจะมีรูปลักษณ์ภายนอก กิริยาท่าทาง หรืออาการแตกต่างกันเพียงใด
แต่มนุษย์ทุกคนย่อมมีธรรมชาติดั้งเดิมที่ไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ยิ่ง แต่ที่กลายเป็นปัญหาหรือมีพฤติกรรมไม่ดีนั้น
เป็นผลมากจากการอิทธิพลของสังคม
ซึ่งเป็นสิ่งเทียมและบ่อนทำลายความเป็นมนุษย์เดิมแท้ให้ผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวไปจากสภาวะธรรมเดิมของตน
ดังที่เขากล่าวว่า “ธรรมชาติเดิมแท้ของมนุษย์นั้นดีงาม แต่กลับถูกทำให้เสื่อมทรามโดยสังคม“ (the
original nature of man is good but corrupted by society) เมื่อเขาเห็นว่าสังคมเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ละทิ้งธรรมชาติเดิมแท้ของตน
เครื่องมือของสังคมคือโรงเรียนแบบเดิมในยุคนั้น จึงเป็นกลไกการขัดเกลาของสังคมที่เขาเห็นว่า ควรทบทวนและได้รับการแก้ไขโดยด่วน
นวนิยายที่รูซโซใช้นำเสนอปรัชญาเกี่ยวกับการศึกษาและการสอนเด็กคือเรื่อง
“Emile” เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1762 เนื้อหาของนวนิยายเล่าถึงการศึกษาที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งได้รับ ตั้งแต่เป็นทารกกระทั่งเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ โดยเขาพยายามที่จะนำเสนอความคิดในเชิงปฏิเสธบทบาทของโรงเรียนในฐานะเครื่องมือขัดเกลาทางสังคม
ซึ่งเด็กไม่ควรที่ถูกสอนในลักษณะการครอบงำความคิด
หรือการสอนให้เชื่อตามคัมภีร์หรือหนังสือ แต่ผู้สอนควรให้ความสำคัญต่อสัญชาตญาณ
ความรู้สึกและความต้องการอันเกิดจากธรรมชาติที่ดีงามและบริสุทธิ์ของพวกเขาให้มากที่สุด ทั้งนี้โดยมีเป้าหมายสูงสุดก็คือ ปลดแอกพวกเขาให้เป็นอิสระออกจากพันธนาการและการคุมขังโดยโรงเรียนหรือสังคม
เขาได้แบ่งระยะแห่งพัฒนาการของเด็กในนวนิยายไว้
5 ระยะ ได้แก่ ระยะทารก
ระยะเด็ก ระยะวัยรุ่นตอนต้น ระยะวัยรุ่นตอนปลาย
และระยะผู้ใหญ่ ซึ่งในแต่ละระยะ มีหลักการจัดการเรียนการสอนดังนี้
1. ระยะทารก (แรกเกิด-5 ปี) เด็กควรได้รับการสอนจากมารดา
โดยเรียนรู้ผ่านความรู้สึกและประสาทสัมผัสที่มีต่อสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏอยู่จริงในสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด
2. ระยะเด็ก (5-12 ปี) เด็กควรเรียนรู้ที่จะสร้างความเข้าใจลักษณะตนเอง
ผ่านประสบการณ์ทั้งในด้านดีและร้าย สร้างความสนใจใคร่รู้ให้แก่ตนเอง
ในการที่จะใช้ความรู้สึกของตนเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว
การจัดการเรียนการสอนจึงควรเน้นไปที่ความรู้สึกของผู้เรียนมากกว่าสิ่งอื่นๆ
3.
ระยะวัยรุ่นตอนต้น (12-15 ปี) เด็กควรเรียนรู้ผ่านการสังเกตธรรมชาติรอบตัว
ทั้งที่เป็นพืช สัตว์ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และวงจรของสิ่งต่างๆ โดยมีลักษณะเป็นการเรียนรู้จาก การสำรวจและลงมือปฏิบัติจริง
4. ระยะวัยรุ่นตอนปลาย
(15-18 ปี) เด็กควรเรียนรู้โลกอย่างรอบด้าน ผ่านการศึกษาสภาพสังคม ธุรกิจการค้า ศิลปะ ดนตรี
รวมถึงไปเที่ยวชมอาคารสถานที่เกี่ยวข้องกับวิทยาการและศิลปการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์
หอศิลป์ ห้องสมุด
5. ระยะผู้ใหญ่
(18 ปีเป็นต้นไป) การศึกษาเรียนรู้ผ่านประสบการณ์และการสร้าง ความชัดเจนของชิวิต
โดยใช้พื้นฐานจากที่ศึกษาในระยะต้นๆ มาขยายขอบเขตและต่อยอด
จากหลักการจัดการเรียนรู้ข้างต้น
เน้นให้เห็นว่า
รูซโซไม่ได้ความสำคัญกับโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาอันเป็นกลไกทางสังคมแต่อย่างใด
แต่เขากลับเน้นให้เห็นว่า ในแต่ละช่วงวัยของชีวิต การเรียนรู้ตามอารมณ์และความรู้สึก
การได้รับประสบการณ์ตรง และการสังเกตสังกาโลกกว้างอย่าง รอบด้าน หลากหลายมิติต่างหาก
ที่เป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาและการเรียนรู้
ที่สุดแล้ว โรงเรียนจึงถูกลดบทบาทลงไปจากเครื่องมือที่สังคมและผู้ใหญ่ใช้ขัดเกลาเด็ก
ตามแต่ที่ฝ่ายตนจะต้องการ มาสู่การให้ความสำคัญต่อการตอบสนองต่อความรู้สึกและความต้องการตามธรรมชาติของเด็กแทน การศึกษาจึงควรจะเริ่มตั้งแต่ในวัยเด็กทารก
ซึ่งจะส่งผลต่อไปยังวัยผู้ใหญ่ โดยมุ่งให้ความสำคัญต่อความต้องการและความสนใจใคร่รู้ตามธรรมชาติของผู้เรียนในแต่ละระยะของพัฒนาการ
และลดอิทธิพลต่างๆ ของสังคม โรงเรียนหรือผู้ใหญ่ ที่อาจจะไปกระทบต่อธรรมชาติดั้งเดิมเหล่านั้น
แนวคิดของผู้ที่เป็นมากว่านักการศึกษาอย่างรูซโซนั้น
ภายหลังมีผู้เห็นว่า ได้กลายมาเป็นแนวคิดพื้นฐานของทฤษฎีการเรียนรู้การสร้างความรู้
ซึ่งเน้นให้เห็นบทบาทของผู้เรียนที่จะต้องตีความหมายและสร้างความจริงส่วนตนขึ้นจากประสบการณ์ต่างๆ
ที่ตนได้สัมผัสรับรู้ จึงนับได้ว่าคุรุเมธีแห่งฝรั่งเศสผู้นี้
เป็นอีกผู้หนึ่งที่บุกเบิกแผ้วถางการศึกษายุคใหม่ ที่พยายามแสดงให้เห็นจิตใจที่เดิมแท้นั้นเป็น
“ธรรม” ของเด็กและเยาวชนทั้งหลายในโลกใบนี้
________________________________________________________