จดหมายถึงครู l ครูเมตตาสะกิดให้ทบทวน


วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กราบสวัสดีค่ะครู

  วันนี้หนูตื่นมาด้วยสภาพแอบเดี้ยงกับตัวเองหลังจากที่เมื่อวาน ช่วยที่บ้านทำนา แต่ก็ไม่ทั้งวันหรอกเจ้าค่ะ หนูไปตระเวนหาของที่อยากได้กับตนเองแบบไม่ลงใจเสียที การตั้งใจทำอะไรสำหรับหนูก็ไม่ค่อยเข้าใจกับตนเองนักเจ้าค่ะ รู้สึกว่าการได้มาซึ่งสิ่งนั้นมีอุปสรรคเสมอ เหมือนต้องถูกทดสอบใจ กว่าจะได้ก็แทบหมดแรง กลับมาบ้านหลับสลบยาวแบบงอแง ทั้ง ๆที่เย็นวานนี้แวะจ่ายตลาดซื้อผักมาจะทำกับข้าว แต่เช้านี้ไม่ทัน เจ้าค่ะ ศีลข้อ 4 ขาดร่วง ขับรถไปถึงที่ทำงาน คุยกับพี่ ๆ เรื่องแผนงานที่หนูต้องหมุนไปเรียนรู้งานที่นอกหน่วยงาน 4 เดือนว่าไปช่วงไหน ตามกำหนดการเดิมคือเข้าส่วนกลาง มกราคม ถึงกุมภาพันธ์ และไปส่วนภูมิภาคหน่วยอื่น ๆ กรกฎาคม ถึงสิงหาคม ปรับแผนงานโครงการให้สอดคล้องกับแผนชีวิตรายปี ตลอดวันหนูเหมือนนั่งจมอยู่กับแผนงานและโครงการตลอดวัน เพราะต้องเร่งพิจารณาวันศุกร์นี้ ได้เห็นความเห็นแก่ตัวในตนเองที่รู้สึก “ไม่อยากทำ แต่เพราะคือ งาน คือ หน้าที่ก็ทำเจ้าค่ะ” ทุกครั้งที่รู้สึกไม่อยากทำงาน หนูจะระลึกถึงครู ครูคือ ต้นแบบของการทำงานแบบละความเห็นแก่ตัว  หนูโน้ตไว้กับตนเองว่าต้องทำอะไรบ้างวันนี้เอาเข้าจริง ๆ ได้ทำเพียงงานและข้อวัตรยามเย็น เลิกงานทำความสะอาดบ้าน ห้องพระแล้วก็ไปวิ่ง

  วันนี้หนูหยิบรูปเก่า ๆ ในอัลบั้มมาดูเจ้าค่ะ ในรูปผู้หญิงคนนั้น “แต่งหน้าเข้มมาก พยายามจะดูดีตลอดเวลา”

ไม่ว่าทำอะไรอยู่ แต่พอมีกล้องมาก็จะมีการแอ๊คท่าทันทีระลึกถึงเมื่อก่อน หนูสั่งสมการสร้างภาพกับตนเองมาตลอดเส้นทางการดำเนินชีวิต ชอบสนุกสนานร้องรำทำเพลง ว่ากันจริง ๆ เริ่มรำแบบขึ้นเวทีก็ตั้งแต่อนุบาล ร้องเพลงประกวดตั้งแต่ยังไม่เข้า ป.1 หลังจากนั้นก็แทบไม่มีปีไหนเลยที่ไม่ได้อยู่บนเวที จากจุดเริ่มตอนเด็ก ก็ยาวมาเรื่อย ๆ การเล่นดนตรีไทย การเป็นนักร้องวงโรงเรียน ที่หนักหนาที่สุดก็คือ การเป็นประธานชมรมลีลาศและการแสดง สอนผู้คนเต้นลีลาศเพื่อแข่งขันและโชว์ในงานต่าง ๆ กรรมแท้ ๆ เจ้าค่ะมานึกย้อน ณ ตอนนี้ มันคือ ราคะ ล้วน ๆ ที่ครอบใจซะหนาเตอะ  หลงคนเดียวยังไม่พอ พาคนอื่นเขาหลงด้วย การลุกขึ้นมาเต้นแร้งเต้นกายามมีงานปาร์ตี้ ดูจะเป็นภาพลักษณ์ล่าสุด ประมาณว่าเป็นตัวกระตุ้นปาร์ตี้ ตอนนั้นเหมือนหยุดเวลาได้ รู้เลยว่าเป็นเป้าสายตา

  มานึกย้อนกับตนเองถ้าปรับมุมจากพาเขาหลงมาเป็นพาเขาตื่นจะดีกว่าไหม ก่อนที่จะพาใครตื่นได้หนูต้องตื่นก่อนใช่ไหมค่ะครู แต่นี่หนูยัง “ไม่เอาถ่าน” ต้องฝึกตนเองให้ได้ก่อน

 ครูเมตตาให้ทบทวนว่า

“เลิกดีกว่าไหม ไปใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น ๆ ร้อยละ 90 ที่เหลือ เขาก็อยู่กันได้”

หนูตอบตนเองได้ไม่ชัดกับการจากไป มันก็ยังไม่เป็นแบบนั้นเจ้าค่ะ

แล้วก็ถามตนเอง

"แล้วจะอยู่แบบดื้อด้านไม่ได้เรื่องให้ครูเหนื่อยเปล่าแบบนี้ทำไม"

อะไรทำให้หนู หน้ามึน และดื้อด้าน

กิเลส ความชั่วความสำออยที่ยังทิ้งไม่ได้กับตนเอง ยังถูกกิเลสข้างในต่อลอง ไม่เด็ดขาดกับการจัดการในตนเองเสียที

นิสัยดี ๆ ที่ไม่ค่อยยอมสร้างที่ยังหน้ามึนอยู่กับครู เพราะลึกๆหนูรู้สึก ปลอดภัยและอุ่นใจกับการได้อยู่เรียนรู้กับครูเจ้าค่ะ

เหมือนทั้งส่วนที่ดี และส่วนที่ชั่วของหนูมันสู้กัน แล้วมันก็ไม่ลงให้กันเสียที

ผลัดกันออกหน้า กิเลสก็ดีแต่จะพาเกเร ไม่เชื่อครู มันทำหนักขนาดที่ไปบดบังให้จำสิ่งที่ครูสั่งไม่ได้ ทำให้ทำผิดเพี้ยนนี่ที่รู้สึกเจ็บใจกับตนเองเจ้าค่ะ เพราะเริ่มต้นตั้งใจ แต่พอตอนลงมือทำเผลอสตินิดเดียวหนูก็พลาดละ

ส่วนลึกๆที่มันพอคิดดีได้ก็รู้สึกว่า ที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ขนาดนี้ก็เพราะครู เพราะมีครู เพราะเชื่อฟังและทำตามที่ครูเมตตาสั่งสอน ฝึกฝนขัดเขลามาตลอด หนูไม่ได้เปลี่ยนแค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่ข้างในหลายอย่างก็เปลี่ยนไปด้วยเจ้าค่ะ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ภาพที่สะท้อนจากกระจกข้างนอกไม่ได้เสมอกับใจข้างในหนู ภาพภายนอกมันล้ำหน้าอยู่มาก

แล้วก็มีเสียงถามกับตนเองว่า “รึต้องเอาของข้างในออกมาจริงๆ”

คำถามนี้ได้เห็นชัดกับตนเองว่า "ยังมีการสร้างภาพกับตนเองอยู่มากเจ้าค่ะ"

แล้วก็มีเสียงต่อมาอีกว่า

ถ้าเอาของข้างในออกมามันชั่วมาก ๆ เลยนะ

ก้าวร้าว ขี้เกียจ กิเลสหน้าสารพัด

 แต่มันก็คือ ความจริงนะ

มีเสียงย้ำกับตนเองว่า 

"เอาออกมาให้ตนเองได้เห็น ให้ตนได้เห็นของจริง แต่ไม่ใช่ลงมือทำชั่วนะ 

เอามาให้เห็น กับมาให้เป็นไม่เหมือนกัน

แต่ที่ผ่านมาคือ มันเป็นเลย แบบที่ตนเองไม่เห็นด้วย

พอครูชี้ก็พาลโกรธ น้อยใจ นี่ไงที่มันไม่ก้าวหน้า


หนูพยายามใส่ชุดที่ครูให้ไปทำงาน ก็มีเสียงงอแงอยู่ภายใน เพราะระลึกว่า

“คือ เสื้อผ้าครู”

เหมือนตอนที่ครูเอ่ยให้ฟังว่า

“การที่เด็ก ๆ บวชเหมือนผ้าเหลืองจำกัดพื้นที่เขา”

สำหรับหนูชุดที่ครูให้เหมือนชุดนักเรียน ที่ใส่แล้วต้องระมัดระวังในการทำสิ่งต่าง ๆมากเจ้าค่ะ

ดีตรงที่ พยายามตั้งสติก่อนจะทำอะไร ปกติหนูจะชอบวิ่ง ๆ ในที่ทำงานแบบทำงานอะไรค้างไว้

พอใส่ชุดครู รู้สึกละอายต้องระวัง

แต่ข้างในก็สารภาพเจ้าค่ะว่า “มันยังคะนอง”

แต่ใจก็ระลึกว่า “ครูเมตตาให้เรียนเรื่องนี้ แม้จะไม่อยากทำ ก็ทำไปก่อนเจ้าค่ะ”

ตกเย็นก็ไปวิ่งกลับมาสักพักครูเมตตาโทรมาสะกิดเตือนไม่ว่าจะทำอะไรก็อย่าละทิ้งข้อวัตร ฃ

หนูไหว้พระกราบขอขมาพระรัตนตรัย กราบขอขมาครู เอาใหม่

ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอีกเมื่อไหร่เจ้าค่ะ

ก็จะยังสู้ไปกับตนเอง

กราบขอบพระคุณในความเมตตาเจ้าค่ะ

หมายเลขบันทึก: 509445เขียนเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2012 21:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม 2012 09:07 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สวัสดีค่ะคุณติ๋ว

การได้อ่านบันทึกคุณติ๋ว เหมือนได้สอนตัวเองและร่วมเรียนรู้ไปกับคุณติ๋วด้วย

ขอบคุณมากๆค่ะ

"ส่วนลึกๆที่มันพอคิดดีได้ก็รู้สึกว่า ที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ขนาดนี้ก็เพราะครู เพราะมีครู เพราะเชื่อฟังและทำตามที่ครูเมตตาสั่งสอน ฝึกฝนขัดเขลามาตลอด ???  => ใช่เหรอ แน่ใจเหรอ ไม่ใช่เพราะครูบังคับเอาเหรอติ๋ว... ขนาดบังคับติ๋วยังไม่ทำตามเลย หากติ๋วเชื่อฟัง และฝึกฝนมาตลอดสี่ปีที่ผ่าน อาการติ๋วจะไม่หนักขนาดนี้นะ จิตใจของติ๋วก็คงจะเบิกบานผ่องแผ้ว ไม่ถลำลึกไปตกหลุมแห่งความลุ่มหลงมากเท่านี้

เหมือนเด็กที่ถูกลากจากโลกียภูมิ แต่เราก็ยังต้าน รั้ง แถมยังทำร้ายครูทั้งกาย วาจา ใจ ถ้าลักษณะนี้ไม่น่าจะเป็นการเชื่อฟัง และตั้งใจขัดเกลานะ 

ฝากพิจารณาทบทวนใหม่นะ เราลองยุติการสร้างภาพให้ดูดีนะ เรานั้นไม่จำเป็นต้องดูดีก็ได้ 

ข้อปฏิบัติตามศีลนั้นทำให้เราปลอดภัยจากการกระทำชั่วทั้งกาย วาจา ใจ

ข้อปฏิบัติทำให้เราเป็นคนมีวินัย และสะท้อนว่าเรามีความเพียร

ข้อปฏิบัติสะท้อนให้เห็นถึงว่าเรามีสติกำกับตนเองอยู่ตลอดเวลา

คนที่ขาดสติและความเพียร จะมีสภาพอย่างที่ติ๋วเป็นอยู่ทุกวันนี้แหละนะ

เรียนรู้จากตนเอง ไม่ต้องไปเรียนรู้จากผู้อื่น เพ่งโทษผู้อื่น หรือหาข้อคำกล่าวแก้ตัวไปเรื่อยๆ...

ไม่ต้องโหยหาหรืออยากได้คำชื่นชม ไม่ต้องไปรังเกียจคำตำหนิใดใด ตั้งใจรักษาข้อปฏิบัติ รักษาหน้าที่น่าจะดีกว่านะ...

...

 

ทบทวนใหม่

จะว่าไปก็ดื้อนะเจ้าค่ะ ต่อต้านครูมาตลอด บางครั้งก็ยังมี อาการขี้เกียจ พอครูบังคับก็จะไปทำแบบขุ่น ๆบ้าง ทำแบบพอให้เสร็จ ๆไปบ้างเจ้าค่ะ
พออะไร ๆมันเยอะ ๆแล้วหนูจัดการไม่ได้ก็จะโกรธ ไม่พอใจ พอถูกเอ็ดก็จะน้อยใจ ดูเหมือนมันจะอยู่ในอารมณ์นี้บ่อยเจ้าค่ะ
ข้างในที่มันออกแรงต้าน ก็ยังรู้สึกว่า ยังอยากสนุกสนานเฮฮา ร้องรำ ทำเพลง ก็ยังไม่ได้เลิกฟังเพลงขาดซะทีเดียว นาน ๆ ก็จะยังมีเปิดฟังเพลง ส่วนเรื่องดูละคร ก็บ้านไม่มีทีวี แต่บางที ก็ยังมีเปิดดูผ่าน Youtube บ้างค่ะ
หรือเวลาทำอะไรแล้วหมดแรงหรือเหนื่อยหนูก็เกเร ไม่ยอมเขียนบันทึกบ้าง ไม่ยอมวิ่งบ้างเจ้าค่ะ 

พอครูมาจี้ก็จะขุ่นน้อยใจ นี่แหละเจ้าค่ะ อาการซ้ำ ๆ ตลอด 4 ปี

ข้างในหนูก็ยังเรียกร้อง แต่ก็จะพยายามระงับมันไว้ค่ะ

เอาของข้างในออกมาโชว์ ลองดู กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท