ปรัชญาคือความเชื่อที่เรามีต่อการเรียนรู้ของคน ต่อความรู้ที่เขาสร้างขึ้น และต่อความจริงที่เขาค้นพบ
ปรัชญาการศึกษา: คำถามและคำตอบ
เรียน อาจารย์ eyona
ตามที่ได้อาจารย์ eyona ได้สอบถามผมเข้ามาว่า “ปรัชญาการศึกษาใดที่เหมาะแก่การนำไปประยุกต์ใน การสอนภาษาอังกฤษบ้าง” ครั้งนี้ ผมจึงขอตอบแบบสบายๆ ซึ่งต่างจากน้ำเสียงในบทความวิชาการทั้งหมดก่อนหน้านี้ทั้งหมดของผมนะครับ
ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ได้ ผมจะต้องเรียนถามอาจารย์ก่อนบ้างว่า
แล้วขณะที่อาจารย์สอนภาษาอังกฤษอยู่ทุกวันนี้ อาจารย์มีความเชื่ออย่างไรบ้างเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของลูกศิษย์ครับ
ที่จริงแล้ว
ครูที่สอนหนังสือโดยส่วนใหญ่ เรียนปรัชญาก็เพราะเป็นวิชาหนึ่งในหลักสูตร
แต่มิได้นำปรัชญาหรือปรัชญาการศึกษามาปฏิบัติเลย
เราสอนหนังสือไปตามแบบแผนที่นิยมทำกันในวิชานั้น
ซึ่งเป็นแบบแผนที่เราเองก็เคยได้รับมาในวัยเด็ก
เหตุใดน่ะหรือครับ ก็เพราะการฝึกหัดครูของเรา มิได้ให้ความสำคัญกับเรื่องปรัชญาอย่างไรเล่าครับ
ปรัชญา คือ ความเชื่อหรือความพยายามที่จะหาคำตอบว่า
อะไรคือความจริงแท้ อะไรคือความรู้ และอะไรคือความดีหรือความงาม สามคำถามนี้
เป็นคำถามที่นักปรัชญาทั้งหลายล้วนแต่ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากมุ่งมั่นที่จะตอบคำถามไปในทิศทางใด คำตอบนั้นก็คือตัวปรัชญาที่เราเองยึดถือ
ซึ่งก็แน่นอนว่า 1) อาจจะไปตรงกับปรัชญาของปราชญ์ท่านใดท่านหนึ่งที่ได้กำหนดไว้มาก่อนแล้ว หรือ 2) เป็นปรัชญาใหม่
ที่เราเองนั้นเป็นผู้สร้าง
คนทุกคนสามารถมีปรัชญาเป็นของตัวเอง
ซึ่งเกิดจากการคัดสรรกลั่นกรองประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิต แล้วนำมาสร้างเป็น
“ปรัชญาชีวิต” อย่างเช่นหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุท่านเลยเล่าไว้ว่า ปรัชญาในการทำงานของท่านคือ
“เกิดเป็นมนุษย์ต้องไม่ย่อท้อต่อความล้มเหลว ความย่อท้อนี้ มิใช้วิสัยของมนุษย์”
เมื่อท่านเชื่อของท่านเช่นนี้ ท่านจึงเป็นผู้กอปรด้วยอุตสาหะ
แม้ในช่วงที่ท่านมีชีวิตอยู่นั้นจะมีโรคภัยรุมเร้าอย่างใดก็ตาม
ท่านก็ยังคงบำเพ็ญกิจสมดังปรัชญาที่ท่านประกาศไว้
อาจารย์จะเห็นแล้วใช่ไหมครับ ว่าปรัชญานั้นคือความเชื่อ
และปรัชญาคือฐานของการกระทำ เราเชื่อเช่นใด เราก็จะทำเช่นนั้น และทำโดยไม่ต่อท้อ
เพราะเราศรัทธาในความเชื่อของเรา
ผมย้อนกลับมาที่คำถามเดิมนะครับ
ว่าอาจารย์เชื่อเกี่ยวกับการเรียนรู้ของลูกศิษย์อย่างไร เพราะถ้าอาจารย์เชื่อว่า
ลูกศิษย์จะต้องเรียนความรู้ภาษาอังกฤษ
ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่สำคัญและเป็นพื้นฐานของชีวิต
นักเรียนจะต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์หรือหลักการทางภาษาที่ไม่เปลี่ยนแปลง โดยที่แต่ละคนควรจะได้รับความรู้ไปเท่าๆ
กันทุกคน
และอาจารย์เชื่อว่าลูกศิษย์ของอาจารย์ไม่มีวันเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ถ้าอาจารย์ไม่บอก หรือสอน
เช่นนี้ อาจารย์จะเป็นพวกที่ศรัทธาในปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม (Essenialism) โดยไม่รู้ตัวครับ เพราะปรัชญานี้เชื่อว่า
ความรู้แท้คือความรู้ในเนื้อหาสาระวิชา
และทุกคนควรจะเรียนด้วยวิธีการเดียวกัน
สื่อเหมือนกัน และวัดประเมินด้วยวิธีการเดียวกันว่า
มีความรู้และความเข้าใจเนื้อหาสาระภาษาอังกฤษมากเพียงใด อาจารย์คุ้นๆ ไหมครับว่า การศึกษาในบ้านเรา
ช่างมีลักษณะพื้นฐานความเชื่อเหมือนปรัชญานี้เสียนี่กระไร
ในทางตรงกันข้ามนะครับ
หากอาจารย์เชื่อว่า ภาษาอังกฤษไม่ใช่องค์ความรู้
แต่เป็นประสบการณ์ที่มีประโยชน์ต่อชีวิต ณ ขณะปัจจุบัน ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เองได้
โดยอาจารย์ให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษเอง (ภายใต้คำแนะนำ)
เน้นการนำไปใช้แก้ปัญหาในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ลดการวัดประเมินโดยใช้การทดสอบ
หันมามุ่งเน้นการให้ผู้เรียนได้เลือกปฏิบัติกิจกรรมทางภาษาตามความสนใจ
(อย่างแท้จริง) และแสดงให้เห็นตัวอย่างของการใช้ภาษาอังกฤษในการประกอบอาชีพ
หรือการใช้ภาษาอังกฤษในสถานที่ปฏิบัติงานจริงๆ เช่น ในสำนักงาน ในหน่วยงานราชการ
เอกชน ฯลฯ เช่นนี้ อาจารย์ย่อมได้ปฏิบัติตามหลักปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม (Progressivism) แล้วครับ
มาถึงตรงนี้
อาจารย์พอจะเห็นแนวทางของคำตอบแล้วใช่ไหนครับ
ว่าปรัชญาก็คือความเชื่อเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียน เพราะฉะนั้นแล้ว ในการจัดการเรียนการสอน
ไม่มีการนำปรัชญาใดมาใช้เป็นเอกเทศหรอกครับ
เพราะเราต้องไม่ลืมว่า ปรัชญาบางอย่างมีพื้นฐานที่จะนำไปสู่การปฏิรูปสังคม การศึกษาโดยปกติหรือการศึกษากระแสหลัก (เช่น
การจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ)
จึงไม่อาจหนีพ้นความเชื่อในความสำคัญของความรู้ของปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยมได้เลยครับ อาจจะมีบางโรงเรียนพยายามที่จะแสดงตนว่า
ถือปรัชญาพุทธบ้าง ปรัชญาพิพัฒนาการนิยมบ้าง (ปรัชญานี้เป็นของกลุ่มโรงเรียนสาธิต
ที่เน้นการทำกิจกรรมและให้ผู้เรียนเป็นผู้มีบทบาทหลักในการสร้างความรู้ของตนเอง)
ปรัชญามนุษยนิยมบ้าง แต่โรงเรียนเหล่านี้
ในท้ายที่สุดก็ต้องผสมผสานปรัชญาหลักของตัวเองเข้ากับปรัชญาพื้นฐานของระบบการศึกษาครับ
จากที่เขียนมา ผมจะขอตอบว่า ไม่มีปรัชญาใดที่เหมาะที่สุดในการสอนภาษาอังกฤษครับ
แต่หากต้องการจะหา ก็ต้องตอบว่า ต้องใช้ปรัชญาผสมครับ
อาจารย์ยังต้องการให้ผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ
ทั้งโครงสร้างไวยากรณ์และระบบต่างๆ ใช่หรือไม่ครับ (ปรัชญาสารัตถนิยม)
อาจารย์ยังต้องการให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง
มีทักษะกระบวนการและมีประสบการณ์ทางภาษาจากการลงมือปฏิบัติใช่หรือไม่ครับ
(ปรัชญาพิพัฒนาการนิยม) อาจารย์ยังต้องให้ผู้เรียนเรียนวรรณคดี คำประพันธ์หรือเรื่องราวในภาษาเพื่อฝึกหาเหตุผล
และใช้กล่อมเกลาศีลธรรมจรรยาของเขาใช่หรือไม่ครับ (ปรัชญานิรันตรนิยม) ถ้าอาจารย์ยังต้องการอยู่ ก็แสดงว่า
อาจารย์ไม่สามารถที่จะสอนโดยใช้เพียงปรัชญาใดปรัชญาเดียวได้
แต่ถามได้ว่าถ้าจะเลือกเพียงอย่างเดียวได้หรือไม่นั้น คำตอบคือ “ได้ครับ”
แต่คำตอบนี้ ต้องตั้งอยู่บนเงื่อนไขว่า
อาจารย์จะต้องสามารถปฏิเสธเป้าหมายการสอนด้านอื่นๆ ให้ได้นะครับ เช่น
ถ้าอาจารย์ศรัทธาในปรัชญาพิพัฒนาการนิยม อาจารย์จะต้องปฏิเสธความรู้ในหนังสือ
แล้วไปสนใจกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะต้องสร้างความรู้ขึ้นเองทั้งหมด
ผู้เรียนต้องแสวงหาและควบคุมตนเองได้ในการเรียน
(ลึกๆ แล้วอาจารย์เชื่อเช่นนี้ไหมครับ? ) เพราะฉะนั้น
การเรียนการสอนตามปรัชญานี้ ครูจะไม่สนใจการวัดผลในด้านความรู้
เลิกให้ผู้เรียนทำข้อสอบ
แต่จะเน้นการไปพูดคุยเพื่อให้ผู้เรียนได้แสดงกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง
เน้นการบูรณาการเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนกับชีวิตจริง
โดยผู้เรียนมีอิสระในการเลือกและควบคุมตนเองในทุกขั้นตอน (ถามอีกครั้งว่า
อาจารย์เชื่อไหมครับ) ถ้ามีเสียงเล็กๆ
ที่ก้องอยู่ว่า ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่า ผู้เรียนจะทำเช่นนั้นได้จริง
ก็แสดงว่าอาจารย์ไม่ได้เชื่อในปรัชญานี้เพียงอย่างเดียวเสียแล้วล่ะครับ
โดยสรุป
ปรัชญาที่เหมาะที่จะนำมาใช้ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษจะเป็นปรัชญาใดก็ได้ครับ
ถึงอยู่กับวัตถุประสงค์ของการสอนและความเชื่อในการพัฒนาคนของอาจารย์
ถ้าเชื่อในการสร้างคนให้มีความรู้ก็ใช้ปรัชญาหนึ่ง ถ้าเชื่อในการสร้างคนให้มีความคิด
ก็ต้องใช้ปรัชญาหนึ่ง
ถ้าเชื่อในการสร้างคนให้เป็นคน รู้ความเป็นไปของสิ่งต่างๆ
ก็ต้องใช้อีกปรัชญาหนึ่ง
แต่ถ้าหวังมากหน่อย ต้องการให้ผู้เรียนเป็นทุกอย่างดังที่ว่ามา
ก็คงต้องใช้ปรัชญาผสมครับ
ยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้รู้จักและยินดีที่อาจารย์ติดตามผลงานเขียนของผม
ก็หวังว่าคำตอบทั้งหมด จะทำให้อาจารย์เข้าใจได้บ้างกระมังครับว่า
โลกของเราคือโลกแห่งการบูรณาการ ไม่มีอะไรที่เหมาะที่สุดสำหรับ สิ่งใด เพราะมันมีบริบทอื่นๆ
ที่ทำให้สิ่งนั้นเปลี่ยนโดยตลอด ถ้าปีนี้
กระแสการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารมาแรงก็คงต้องใช้ปรัชญาหนึ่ง แต่หากปีต่อไป
เกิดกระแสการสอนภาษาเพื่อสร้างทักษะชีวิต
ปรัชญาเดิมที่ใช้ก็คงต้องเปลี่ยนแปลงไป
ดังนั้น ผมถามคำถามอาจารย์กลับบ้างแค่ 3 ข้อนะครับ เพื่อให้อาจารย์ลองคิดแล้วลองสะท้อนความคิด (reflection) ดู
1. อาจารย์คิดว่า เป้าหมายในการสอนภาษาอังกฤษให้แก่ผู้เรียนของอาจารย์คืออะไรครับ
2. เป้าหมายในข้อ 1. นั้น จำแนกอยู่ในด้านไหนครับ (ด้านวิชาการ ด้านทักษะชีวิต ด้านความเป็นคน
ด้านเศรษฐกิจ ด้านคุณธรรมจริยธรรม หรือหลายๆ ด้าน)
3. เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้น
อาจารย์ได้จัดการเรียนการสอนในปัจจุบันนี้อย่างไรบ้างครับ
4. อาจารย์คิดว่าที่สุดแล้ว
อาจารย์จะสามารถใช้ปรัชญาใดปรัชญาหนึ่งเพียงปรัชญาเดียว เพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย
(ในหลายด้าน) ในข้อ 1-2 ได้หรือไม่ครับ
ในท้ายที่สุดนี้
หวังว่าอาจารย์คงจะได้นำความคิดที่เกิดจากการอ่านของผมกลับไปพิจารณาการสอนของตนเองครับ
ซึ่งก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาวิชาชีพไม่มากก็น้อย คำถามของอาจารย์ในครั้งนี้ เปรียบเหมือนแสงสว่างเล็กๆ
ที่ส่องอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของการศึกษาไทย
ที่นิยมและพึงพอใจต่อคำตอบสำเร็จรูปให้กับการเรียนการสอน บทบาทที่อาจารย์ได้ทำอยู่นี้
จึงมิใช่บทบาทของครูเท่านั้น แต่ยังเป็นบทบาทของนักการศึกษา
ที่พยายามตั้งคำถามต่อการศึกษาที่ "เป็นมา" อยู่เสมอ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง
ด้วยความใฝ่รักในการเรียนรู้ในครั้งนี้
หวังว่าจะอำนวยผลให้อาจารย์มีความก้าวหน้าในวิชาชีพครูต่อไปครับ
ขอแสดงความนับถือ
เฉลิมลาภ ทองอาจ
นิสิตดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาหลักสูตรและการสอน
โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย