อาจารย์วีระ ภาคอุทัย อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์การเกษตร
คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เข้ารับใบประกาศเกียรติคุณโครงการวิทยาศาสตร์สู่ความเป็นเลิศ
เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติในฐานะผู้ที่มีผลงาน
ในการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์ต่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรมเป็นที่ประจักษ์
จากนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เมื่อวันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2555
ระหว่างเวลา 07.30-12.00 นาฬิกา ณ ห้องประชุมรัฐสภา อาคารรัฐสภา 1 เขตดุสิต
กรุงเทพมหานคร
ตามทีประธานวุฒิสภาได้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดมอบรางวัลโครงการวิทยาศาสตร์สู่ความเป็นเลิศ
ขึ้น เพื่อพิจารณาประเมินผลงานที่มีผู้เสนอเข้าร่วมโครงการฯ
โดยมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมให้มีการนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์
ให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างสรรค์ประโยชน์ต่อสังคม โดย อาจารย์วีระ
ภาคอุทัย ได้ส่งผลงานประเภทนักเรียน นิสิต นักศึกษา ครู อาจารย์ เรื่อง
การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานพริกปลอดภัย เข้าร่วมโครงการ ซึ่งคณะกรรมการจัดมอบรางวัลโครงการวิทยาศาสตร์สู่ความเป็นเลิศ
ได้พิจารณาประเมินผลงานแล้วว่า เป็นผลงานที่มีคุณสมบัติผ่านหลักเกณฑ์ตามที่คณะกรรมการฯ
กำหนดไว้ จึงได้รับการตัดสินให้เข้ารับใบประกาศเกียรติคุณโครงการวิทยาศาสตร์สู่ความเป็นเลิศ
ในใบประกาศเกียรติคุณโครงการวิทยาศาสตร์สู่ความเป็นเลิศ
มีข้อความระบุว่า วุฒิสภา ใบประกาศเกียรติคุณฉบับนี้มอบให้ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
คณะเกษตรศาสตร์ (อาจารย์วีระ ภาคอุทัย) “การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานพริกปลอดภัย”
เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติในฐานะผู้ที่มีผลงาน
ในการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์ต่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรมเป็นที่ประจักษ์
ขอจงรับเกียรตินี้ไว้
เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองวัฒนาสถาพรสืบไป ให้ไว้ ณ
วันที่ 5
พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ลงนามโดย ดร.นิลวรรณ
เพชระบูรณิน ประธานคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
การสื่อสารและโทรคมนาคม วุฒิสภา และนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา
อาจารย์วีระ ภาคอุทัย กล่าวว่า “การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานพริกปลอดภัย
เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.)
ให้ทำงานวิจัย โดยเริ่มที่จังหวัดชัยภูมิ แล้วแนวคิดจากจังหวัดชัยภูมิก็ถูกนำไปปรับใช้ที่จังหวัดแพร่
และจังหวัดน่าน ซึ่งจุดเด่นของโครงการก็คือ ได้ประยุกต์แนวคิดของการจัดการระบบการทำฟาร์มของคณะเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ในอดีตมีความโดดเด่นมากและเป็นที่ยอมรับของวงการเกษตรไม่เฉพาะแต่ในเมืองไทยแต่เรียกได้ว่าทั่วโลกก็ได้
หลักการก็คือ ต้องมีการวิเคราะห์พื้นที่ก่อน แล้วนำศาสตร์ทางด้านการตลาดทางเศรษฐศาสตร์เข้ามาช่วยปรับ
ให้เกษตรกรเห็นอนาคตว่า ถ้าทำอย่างนี้แล้วเขาจะได้อะไร แล้วมีแนวทางการบริหารความเสี่ยงมาช่วยป้องกันความเสียหายเข้ามาช่วยวิเคราะห์
เช่น จำนวนวันที่ฝนตก ปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ ดัชนีราคาสินค้ารายเดือน และการเคลื่อนไหวของระบบตลาด
ซึ่งจะต้องนำสถานการณ์ในปัจจุบันเข้ามาประกอบในการตัดสินใจด้วย เช่น เปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ
ฝนตกเร็วหรือฝนตกช้า ก็จะมีผลต่อการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช
เรื่องรายได้และราคาผลผลิต ท้ายสุดก็ต้องไปเชื่อมโยงแนวคิดตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มาเป็นแนวทางทำการเกษตร โดยให้เกษตรกรนำหลักการวิเคราะห์
การวางแผนเพื่อลดปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตให้น้อยลง ทำในพื้นที่น้อยแบบประณีต ทำตามหลักวิชาการ
ใช้ความรู้ที่ถูกต้องและทันสมัยในการขับเคลื่อน”
อาจารย์วีระ
กล่าวต่ออีกว่า “เมื่อผลงานวิจัยถูกนำไปใช้แล้วเกิดผลกับเกษตรกร
ที่ปรับตัวตามแนวทางที่เราเสนอ ทำให้ผู้ปลูกพริกหันมาปลูกพริกในระบบปลอดภัย ลดการใช้สารเคมี
ทำให้สุขภาพร่างกายของเกษตรกรผู้ปลูกพริกดีขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือพริกปลอดสารเคมี
คนกินก็ปลอดภัย สภาพแวดล้อมก็ดีขึ้น โดยองค์รวมก็คือ
เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นและรายจ่ายลดลง ราคาของพริกปลอดภัยสูงขึ้น นอกจากนั้นยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขบวนการคิดของเกษตรกร
ที่จะต้องมีการรวมกลุ่มกันโดยประสานความร่วมมือระหว่างเกษตรกรผู้ปลูกพริกที่อยู่ใกล้เคียงกัน
หน่วยงานที่ทำการส่งเสริม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ต้องประสานความร่วมมือ ซึ่งจะต้องประสานตั้งแต่ระดับล่างขึ้นไป
หลังจากนั้น เมื่อเกษตรกรปฏิบัติได้ผลเป็นที่ยอมรับ กลายเป็นข้อมูลข่าวสารที่ทำให้พ่อค้าหรือผู้ซื้อสามารถเข้าถึงเกษตรกรที่ปลูกพริกปลอดภัยได้ง่ายขึ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะต้องเกิดการเชื่อมโยงกันคือ เกษตรกรก็ต้องคิดถึงผู้ซื้อ และผู้ซื้อก็ต้องคิดถึงเกษตรกร
หมายความว่า เมื่อราคาพริกปลอดภัยสูงกว่าพริกทั่วๆไป
เกษตรกรก็จะต้องรักษาคุณภาพและมาตรฐานให้คงอยู่ ในขณะเดียวกันผลผลิตพริกที่ได้ต้องมีปริมาณมากพอที่จะทำการค้า
ช่วยสร้างชื่อเสียงให้แก่ท้องถิ่น มีผลทำให้เกิดการจ้างงาน ก่อให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับชุมชน
เงินทุนหมุนเวียนในท้องถิ่นค่อนข้างนาน ช่วยลดปัญหาการกู้หนี้ยืมสินเงินนอกระบบได้มากพอสมควร
เพราะว่า ปัจจุบันภาคการเกษตรมีจำนวนคนน้อยลง เรื่องจำนวนประชากรภาคเกษตรกรรมถูกละเลยมานาน
ในครอบครัวที่มีแรงงานเหลือน้อยนั้น และถ้าหากว่าเกษตรกรยังคงเป็นแบบตัวใครตัวมันด้วยแล้ว
จะกลายเป็นอุปสรรคในอนาคต ถึงแม้ว่าแต่ละครอบครัวมีคนน้อยมีพื้นที่น้อย หากมารวมกันเป็นกลุ่มก็จะกลายเป็นผู้ประกอบการธุรกิจขนาดใหญ่
ซึ่งในอนาคตเกษตรกรกรจะต้องทำการเกษตรแบบธุรกิจการเกษตร โดยจะต้องนำแนวความคิดในเรื่องของการบริหารจัดการธุรกิจเข้ามาร่วมด้วย
คือการนำตลาดมาเป็นตัวตั้ง แล้วปรับระบบการผลิตของตัวเกษตรกรเองให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ซื้อ
ราคาที่เกษตรกรได้รับต้องสะท้อนถึงราคาที่แท้จริง เพราะว่าสินค้าเกษตรโดนเอารัดเอาเปรียบมานานมากแล้วเมื่อเปรียบเทียบกับการคำนวณทางภาคอุตสาหกรรม
คือต้นทุนการผลิตทางภาคอุตสาหกรรมนั้น เขามีการคำนวณกันทุกอย่าง เช่น
ต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม ค่าสวัสดิการ แรงงาน ฯลฯ รวมเข้าไว้หมด
แต่ภาคการเกษตรไม่ได้รวม จึงคิดว่าภาคการเกษตรของทุกประเทศในโลกที่ประกอบอาชีพการเกษตรต้องมาช่วยกันปรับวิธีคิดในเรื่องนี้ใหม่ให้กับตลาดโลก
เพราะไม่เช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นว่า สินค้าดีแต่กลับต้องขายในราคาที่ถูกซึ่งไม่ใช่
แท้จริงแล้วต้องขายได้ในราคาที่สูงขึ้นเพื่อความเป็นธรรม ซึ่งประเทศที่มีรายได้ต่ำกว่าประเทศอุตสาหกรรมก็จะถูกเอารัดเอาเปรียบตลอดไป”
“ท้ายนี้ อยากขอฝากว่า ความรู้จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดโดยเฉพาะข้อมูลข่าวสาร
ในปัจจุบันภาคการเกษตรปรับตัวไปมากแล้ว
ซึ่งภาคที่ควรจะปรับตัวตามคือภาคราชการที่จะต้องปรับตัวเข้ากับเกษตรกร
ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้ข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็วแก่เกษตรกรได้” อาจารย์วีระ
ภาคอุทัย กล่าวในที่สุด
กิตติศักดิ์ สิงหา วิเคราะห์ สังเคราะห์และเผยแพร่
ไม่มีความเห็น