(ร่าง) รายงานการสอบปากคำ[1] การวิเคราะห์กฎหมาย และเอกสารส่วนบุคคล
เกี่ยวกับนางเรียน เวียนวัฒนชัย
คนสัญชาติเวียตนาม เชื้อชาติฝรั่งเศส ซึ่งทรงสิทธิในสัญชาติไทยโดยการเกิด[2]
แต่ถูกบันทึกในทะเบียนราษฎรไทย ประเภทคนต่างด้าวสิทธิอาศัยถาวร
ประวัติชีวิตและสถานะบุคคลตามกฎหมาย
พ.ศ.2442
·บิดาของนางเรียน เวียนวัฒนชัย คือ นายกี เงี่ยน หรือ นายกี เวียนวัฒนชัย เกิดเมื่อ ปี พ.ศ.2442 ณ จังหวัดฮวงติ่ง ประเทศเวียดนาม เป็นข้อเท็จจริงซึ่งปรากฎตาม เอกสารคำให้การ (ค.8) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2493 ซึ่งนายกี ได้ให้การไว้กับ สถานีตำรวจภูธรเมืองนครพนม เพื่อแนบท้ายเรื่องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่ผู้เยาว์ (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 1 หน้า 3)
เดิมทีนายกี ใช้นามสกุลว่า “เงี่ยน” แล้วจึงเปลี่ยนไปเป็น “เวียนวัฒนชัย” หลังจากอพยพเข้ามาในประเทศไทยได้ระยะหนึ่งแล้ว
พ.ศ.2450
· มารดาของนางเรียน เวียนวัฒนชัย คือ นางแฮ จากการรับฟังปากคำของนางเรียน กล่าวว่านางแฮ เกิดใดจังหวัดนครพนม ประเทศไทย แต่บรรพบุรุษของนางแฮ เป็นคนเชื้อสายญวนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย โดยนางแฮได้เสียชีวิตเมื่อ พ.ศ.2547 (ปรากฏตามใบมรณบัตร (เอกสารแนบท้ายหมายเลข) (อยู่ระหว่างการสืบค้นโดย คุณประพันธ์บุตรชายของคุณเรียน) ขณะอายุ 97 ปี เมื่อคำนวนแล้วจึงเชื่อว่านางแฮ เกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ.2450
พ.ศ.2456
· หากพิสูจน์ได้ว่า นางแฮเกิดในประเทศไทย ก่อนการมีผลบังคับใช้ของพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2456 เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2456 การพิจารณาสัญชาติของนางแฮ จึงไม่อาจอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ แต่กลับตกอยู่ภายใต้มูลนิติธรรมประเพณีว่าด้วยสัญชาติไทยของประเทศไทย[3] [4]
ประมาณ พ.ศ.2458 นายกีเดินทางเข้าประเทศไทย ก่อนวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ.2470
· นายกี เวียนวัฒนชัย หรือนายกี เงี่ยนได้อพยพจากประเทศเวียตนามเพราะเหตุผลความยากจนและต้องการดิ้นรนทำมาหาเลี้ยงชีพ ไม่ใช่เพราะหนีภัยสงคราม เพราะขณะที่เข้ามาในประเทศไทยนั้น ยังไม่เกิดสงครามในประเทศเวียดนาม[5] โดยนายกี มาตั้งถิ่นฐานทำนาบริเวณ ตำบลหนองแสง อำเภอหนองบึก จังหวัดนครพนม ประเทศไทย
· จากคำให้การของนายกี ที่ให้การต่อสถานีตำรวจภูธรเมืองนครพนม เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2493 ตาม เอกสารคำให้การ (ค.8) เพื่อแนบท้ายเรื่องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่ผู้เยาว์ (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 1 หน้า 3) ได้ระบุข้อเท็จจริงว่านายกี เข้ามาประเทศไทยได้ 35 ปีแล้ว (ณ วันที่ 4 พฤศจิการยน พ.ศ.2493) นายกีจึงเข้าประเทศไทยประมาณปี พ.ศ.2458
· ประกอบกับ จากคำบอกเล่าของนางเรียน เวียนวัฒนชัย กล่าวว่าตนเองมีพี่น้อง 12 คน ซึ่งทุกคนเกิด ณ จังหวัดนครพนม ประเทศไทย ตนเองเป็นบุตรสาวคนที่ 6 และเกิด พ.ศ.2476 ในประเทศไทย ส่วนพี่สาวคือ คุณประไพ ซึ่งเป็นบุตรคนที่ 4 อายุห่างจากตนเองประมาณ 4 ปี คือ เกิดเมื่อประมาณ พ.ศ.2472 และเมื่อบุตรคนที่ 1-3 ของนายกี และนางแฮ เกิดในประเทศไทยเช่นกัน
· จึงเป็นข้อเท็จจริงที่คำนวนได้ว่า นายกี เดินทางเข้าประเทศไทย ก่อนที่พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2470 จะมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ.2470 จึงไม่อาจนำกฎหมายฉบับดังกล่าวย้อนหลังมากำหนดสิทธิเข้าเมืองและสิทธิอาศัยของนายกี หากแต่สิทธิดังกล่าวย่อมเป็นไปตามมูลนิติธรรมประเพณีของประเทศไทยเรื่องการเข้าเมืองของคนต่างด้าว ดังนั้นนายกีจึงเข้าเมืองไทยได้โดยเสรี และไม่มีหน้าที่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ทำให้นายกีมีสถานะเป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย และมีสิทธิอาศัยถาวร[6]ในประเทศไทย ตั้งแต่ก่อนวันที่นางเรียน เวียนวัฒนชัยเกิด
พ.ศ.2476
· ปรากฎตาม ทะเบียนบ้านประเภทคนอยู่ถาวร (ท.ร.14) ซึ่งออกโดยสานักทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลนครอุดรธานี รหัสประจำบ้าน คือ 4199-03xxxx-4 จัดพิมพ์เมื่อ วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ.2547 (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 2) ระบุว่านางเรียน เวียนวัฒนชัย เป็นผู้อยู่อาศัยลำดับที่ 20 ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2476 เป็นบุตรของนายกี เวียนวัฒนชัย กับนางแฮ เวียนวัฒนชัย
· โดยวันเกิดนั้นสอดคล้องกับข้อมูลตามสูติบัตรที่ออก ณ ตำบลหนองแสง อำเภอหนองบึก จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2476 (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 3) เพียงแต่ระบุชื่อผู้เกิด คือ “เด็กหญิงเช่รา เงี่ยน” บุตรของนายกิ่ว และนางแฮว เกิดที่หมู่ 2 ตำบลหนองแสง วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2476
· ประกอบกับข้อมูลมีความสอดคล้องกับ (สำเนา)ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว เลขทะเบียนที่ 131/2488 ลงวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2488 ออกให้ ณ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ของนางเรียน เวียนวัฒนชัย (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 4) เพียงแต่ระบุว่าผู้เกิด คือ “นางเรียน เวียนวัฒนชัย” หรือ “เช่า” เกิด ณ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2476 เป็นบุตรของนายกี และนางแฮ
· ประเด็นความขัดแย้งของชื่อของนางเรียนซึ่งปรากฎในเอกสาร เนื่องจากเดิมทีตอนเกิดบิดาตั้งชื่อให้ว่า “เซ่า” ซึ่งภาษาเวียดนามหมายถึง บุตรคนที่ 6 เพราะนางเรียน เป็นบุตรคนที่ 6 แต่คราวแจ้งเกิดกับเจ้าหน้าที่ นายกีซึ่งออกเสียงภาษาไทยได้ไม่ชัด ทำให้เจ้าหน้าที่ฟังและบันทึกในสูติบัตรเป็น เด็กหญิง “เช่รา” อย่างไรก็ตามการเขียนชื่อเดิมของนางเรียน เคยถูกสะกดเป็นอีกแบบคือ “เช่า” ซึ่งปรากฎตาม (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 4) ต่อมา เด็กหญิงเช่รา ได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ “เรียน” เมื่อร้องขอมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
· ส่วนประเด็นความขัดแย้งของชื่อบิดาและมารดาในสูติบัตรดังกล่าว ซึ่งระบุชื่อบิดา คือนาย “กิ่ว” และชื่อมารดา คือนาง “แฮว” นั้นเกิดจากความผิดพลาดในการออกเสียง ทำให้เจ้าหน้าที่สะกดและบันทึกผิดไป และขณะนั้นนายกียังมีความรู้ภาษาไทยไม่มากนักจึงไม่ได้ทักท้วง
· ส่วนประเด็นเรื่อง นามสกุล เดิมทีครอบครัวของนายกี ใช้นามสกุลว่า “เงี่ยน” ซึ่งเป็นภาษาเวียดนาม แต่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นนามสกุลที่ออกเสียงเป็นภาษาไทย ในภายหลัง
· จากข้อเท็จจริงและหลักฐานการเกิดดังกล่าวจึงรับฟังได้ว่า นางเรียน เวียนวัฒนชัย หรือ เด็กหญิงเช่ร่า เงี่ยน มีสัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักดินแดน ตาม พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2456[7] มาตรา 3(3) ซึ่งระบุว่า “บุคคลเหล่านี้ได้บัญญัติว่าเปนคนไทย คือ (3)บุคคลผู้กำเนิดในพระราชอาณาจักรสยาม” ตั้งแต่วันที่เกิด คือ วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2476
· แต่เธอกลับไม่ได้รับการบันทึกในทะเบียนราษฎรไทย ในสถานะคนสัญชาติไทย จึงทำให้เธอเป็นคนสัญชาติไทยที่ตกหล่นจากทะเบียนราษฎรไทย อย่างไรก็ตามการไม่ได้รับการบันทึกในทะเบียนราษฎรขณะนั้น ไม่เป็นเหตุให้เธอสิ้นสุดสิทธิที่จะกล่าวอ้างว่าเป็นผู้ทรงสิทธิในสัญชาติไทยที่ควรได้รับการเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน
นายกี และนางแฮ อยู่กินฉันสามีภรรยา ก่อนการประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2478 ทำให้นางเรียนเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดา
· การปรากฏข้อเท็จจริงว่า นางเรียน บุตรของนายกี กับนางแฮ เกิดในปีพ.ศ.2476 ย่อมเป็นข้อเท็จจริงที่เพียงพอต่อการรับฟังว่า การอยู่กินฉันสามีภรรยาของนายกีและนางแฮ ย่อมต้องมีมาก่อนการบังคับใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2478 ทำให้การอยู่กินฉันสามีภรรยานั้นมีผลเป็นการสมรสโดยชอบด้วยกฎหมายตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะผัวเมีย แม้จะไม่ได้จดทะเบียนสมรสก็ตาม และส่งผลให้นายกีเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนางเรียน
· ดังนั้นบุตรของนายกี และนางแฮทุกคน คือ คนที่ 1 นางจัด, คนที่ 2 นายถึก, คนที่ 3 นางติ่ง(คุณประไพ), คนที่ 4 นางเรียน เวียนวัฒนชัย, คนที่ 5 นางอรรถ, คนที่ 6 นายวิน และคนที่ 7-12 เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายกี
· เพราะฉะนั้นเมื่อนางเรียนมีบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นคนต่างด้าว จึงไม่ครบองค์ประกอบที่จะได้สัญชาติไทยโดยการเกิด ตามหลักสืบสายโลหิตจากบิดา ตามมาตรา 3(1) แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2456[8] และไม่ว่านางแฮ มารดาของนางเรียนจะมีสัญชาติไทยหรือไม่ก็ตาม นางเรียนก็ไม่ใช่ผู้ทรงสิทธิในสัญชาติไทย ตาม ม.3(2) แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2456 เพราะเหตุที่ปรากฏบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
พ.ศ. 2480
· จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำให้การของนายกี เอกสารคำให้การ (ค.8) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2493 ซึ่งนายกี ได้ให้การไว้กับ สถานีตำรวจภูธรเมืองนครพนม เพื่อแนบท้ายเรื่องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่ผู้เยาว์ (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 1 หน้า 3) นายกี แจ้งว่าตนเองได้ไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว เลขที่ 215/2480 เมื่อ พ.ศ.2480
· จากประวัติศาสตร์กฎหมายการทะเบียนคนต่างด้าวของประเทศไทย มีการจัดทำทะเบียนเพื่อออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวครั้งแรกของประเทศไทย ได้ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม ปี พ.ศ.2480 เป็นต้นไป โดยใช้อำนาจตามกฎหมายคือ มาตรา 6 แห่ง พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.2479[9] ซึ่งเป็นกฎหมายการทะเบียนคนต่าด้าวฉบับแรกของประเทศไทย ที่กำหนดให้คนต่างด้าวในประเทศไทยต้องมี “ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว” ดังนั้น ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว เลขที่ 2xx/2480 จึงเป็นใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวชิ้นแรกของนายกี และไม่มีความเป็นไปได้ที่นายกี จะถือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวซึ่งออกโดยรัฐไทยก่อนวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2480
พ.ศ.2488 นางเรียน เวียนวัฒนชัย รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
· โดยปรากฏข้อมูลตามเอกสารว่านางเรียน เวียนวัฒนชัย ได้ถือใบประจำตัวคนต่างด้าว เลขทะเบียนที่ 131/2488 ลงวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2488 ปรากฏตาม (สำเนา)ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 4
· พึงสังเกตว่า การถือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว เลขที่ 1xx/2488 ของนางเรียน เป็นการถือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวในตอนที่นางเรียน อายุเพียงประมาณ 12 ปี ซึ่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.2479 กำลังมีผลบังคับใช้ในขณะนั้น โดยมีบทบัญญัติ มาตรา 6 ที่กำหนดให้ คนต่างด้าว ซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรไทยก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เมื่ออายุครบ 12 ปีบริบูรณ์ ให้ไปขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวภายใน 90 วัน ดังนั้นการขอรับใบสำคัญ ประจำตัวคนต่างด้าวในครั้งแรกนี้ ย่อมต้องเกิดจากการที่นายกี ผู้เป็นบิดาได้ร้องขอให้แก่บุตรผู้เยาว์ของตนเอง มิได้เกิดจากการสแดงเจตนาของนางเรียนเอง
· อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนวนอายุของนางเรียน จะมีอายุครบ 12 ปี ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2488 ดังนั้นการที่อำเภอเมืองนครพนมออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่นางเรียน ก่อนถึงเวลาครบอายุ 12 ปี คือออกในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2488 เป็นการออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายขณะนั้น
· แต่หลังพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.2479 ถูกยกเลิก และมีพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.2493[10] ขึ้นใช้บังคับแทน โดยมาตรา 5 ได้กำหนดให้ คนต่างด้าวที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรไทย ต้องมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ประกอบกับมาตรา 24 ของกฎหมายฉบับเดียวกันก็ได้รับรองสถานะของใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ จึงไม่น่าจะมีประเด็นที่ต้องพิจารณาในเรื่องที่มาและความชอบด้วยกฎหมายของใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวของนางเรียน เวียนวัฒนชัย[11]
พ.ศ. (2480 หรือ 2493?) การเปลี่ยนนามสกุลจาก “เงี่ยน” ไปเป็น “เวียนวัฒนชัย”
· ประเด็นเรื่องนามสกุล “เวียนวัฒนชัย” เดิมทีนายกี ใช้นามสกุล “เงี่ยน” และให้บุตรของตนใช้นามสกุล “เงี่ยน” เช่นเดี่ยวกัน แต่ต่อมาเมื่อช่วงการขอมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ทางการไทยบังคับให้คนในสมัยนั้นที่ขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวต้องใช้นามสกุลที่ออกเสียงภาษาไทย ทำให้นายกี ต้องเปลี่ยนนามสกุลของตนเอง และของภรรยะคือ นางแฮ และของบุตรทุกคนจาก รวมถึงของนางเรียนหรือเด็กหญิงเช่ร่า “เงี่ยน” มาใช้เป็น “เวียนวัฒนชัย” ( เมื่อปีพ.ศ.....ซึ่งปรากฏตามใบเปลี่ยนชื่อสกุล...... (ปรากฏหลักฐานการเริ่มใช่นามสกุลเวียนวัฒนชัย )) (อยู่่ระหว่างการสืบค้นหลักฐานโดยคุณประพันธ์บุตรชายของนางเรียน)
พ.ศ.2493 นายกีร้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่บุตรผู้เยาว์
· จากความเข้าใจของนายกี ซึ่งปรากฏตาม บันทึกคำให้การเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2493 (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 1 หน้า 3-4) นายกีเชื่อว่าตนเอง และบุตรคนที่ 1-6 เป็นคนในบังคับของประเทศฝรั่งเศส(คนสัญชาติฝรั่งเศส) ตามสนธิสัญญาระหว่างไทยและฝรั่งเศส
· ด้วย “หนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส” นั้นมีหลายฉบับ นายกีไม่ได้ระบุว่าตนเองเป็นคนในบังคับของประเทศฝรั่งเศสตามหนังสือสัญญาฉบับใด แต่เมื่อบันทึกคำให้การของนายกีมีขึ้นในวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2493 ย่อมตีความได้ว่า นายกีมีเจตนาหมายถึงสนธิสัญญาที่มีผลบังคับใช้ในวันดังกล่าว ซึ่งน่าจะหมายถึง หนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศสฯ 13 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก 122[12][13] (ค.ศ.1904/พ.ศ.2446) แต่ประการสำคัญคือ หนังสือสัญญาฉบับนี้ ไม่ได้มีข้อกำหนดยกเว้นการได้สัญชาติไทยโดยหลักดินแดนของบุตรของคนในบังคับของประเทศฝรั่งเศส เพราะฉะนั้นบุตรของคนในบังคับฝรั่งเศส (ซึ่งเลือกถือสัญชาติฝรั่งเศส) ก็อาจจะขอถือสัญชาติไทยด้วยก็เป็นได้ หากทราบว่าคนเองทรงสิทธิในสัญชาติไทย และหากปรากฏข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายสัญชาติขณะนั้น ว่าประเทศไทยและประเทศฝรั่งเศสยอมรับการถือสองสัญชาติ
· ด้วยความเข้าใจข้างต้น วันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2493 นายกี ยื่นคำร้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่บุตรคนที่ 3-6 คือรวมถึงนางเรียน ปรากฏตามคำร้องของผู้ปกครองขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่ผู้เยาว์, ผู้เสมือนไร้วามสามารถ, หรือผู้ไร้ความสามารถ (แบบ ท.ต.3) กระทรวงมหาดไทย เขียนที่ สภ.อ.จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2493 (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 1 หน้า 1) และรายการของผู้เยาว์, ผู้เสมือนไร้ความสามารถ, หรือผู้ไร้ความสามารถ (สำเนาแนบแบบ ท.ต.3) (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 1 หน้า 2)
· ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ การยื่นขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวของนางเรียน ในครั้งนี้เป็นการกระทำของบิดาอีกเช่นกัน จึงตีความมิได้ว่านางเรียน มีเจตนาขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
· แต่ ตามคำบอกเล่าของนางเรียน และบันทึกคำให้การของนายกี เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2493 (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 1 หน้า 3-4) ระบุว่าการขอมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวนั้น อันเนื่องจากคำแนะนำของอำเภอเมืองนครพนม
· นอกจากนี้ คำให้การของนางเรียน ในคำร้องขอรับใบแทนใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2519 (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 5)ยังพบข้อความว่า นายกีซึ่งยื่นคำร้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ให้แก่บุตร เมื่อวันที่ 4 พฤศจิการยน พ.ศ.2493 เป็นการดำเนินการเพื่อให้บุตรมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ตามประกาศจากทางราชการซึ่งแจ้งให้บุตรของคนญวนในอารักขาฝรั่งเศสเกิดในประเทศไทยก่อน 27 มกราคม พ.ศ.2481 ได้สัญชาติตามบิดามารดา ให้มารับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว กรณีนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าการที่นางเรียนมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวมิได้เกิดจากความตั้งใจของนายกี รวมถึงตัวนางเรียนเองด้วย
พ.ศ.2496 การประกาศใช้ พระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2496 เพื่อแก้ไข พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2495
[1] เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ.2555
[2] จัดทำโดย นางสาวพวงรัตน์ ปฐมสิริรักษ์ นักกฎหมายโครงการบางกอกคลินิกฯ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่นางเรียน เวียนวัฒนชัย (ฉบับวันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2555)
[3] เป็นการพิจารณาสัญชาติไทย ตามหลักกฎหมายธรรมชาติ แต่เมื่อเกิดรัฐสมัยใหม่ กฎเกณฑ์ในการมีสัญชาติไทยย่อมเป็นไปตามเจตจำนงของรัฐ ซึ่งอาจจะไม่สอดคล้องกับกฎหมายธรรมชาติเสียทีเดียว จึงจำเป็นต้องทราบถึงเจตจำนงอันปรากฏในการนิติบัญญัติของรัฐ อ้างอิงจาก พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร, รวมบทบัญญัติแห่งกฎหมายไทยว่าด้วยสัญชาติไทยของบุคคลธรรมดา,พิมพ์ครั้งที่ 6, กรุงเทพฯ, สำนักพิมพ์วิญญูชน, 2548.
[4] พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร, กฎหมายสัญชาติไทย หลักกฎหมายที่เปลี่ยนแปลง, พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: บริษัทสำนักพิมพ์วิญญูชนพิมพ์ จำกัด, 2536.
[5] เป็นช่วงเวลาก่อนการเกิดขึ้นของสงครามเวียดนาม ในยุคนายพลโฮจิมินต์
[6] อ้างอิง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 153/2505 ระหว่างอัยการจังหวัดตราด( โจทก์) กับ นายฮ่วยเกี๊ยกหรือฮั้ว แซ่ลี้ (จำเลย) ซึ่งตัดสินว่า จำเลยเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เมื่อ พ.ศ. 2463 ซึ่งยังไม่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคนเข้าเมืองในขณะนั้น จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน เป็นการเข้าได้โดยเสรี จำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานเข้าเมืองโดยมิได้รับอนุญาตตามกฎหมาย
[8] มาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2456 บัญญัติว่า “บุคคลเหล่านี้ได้บัญญัติว่าเป็นคนไทย คือ
(1) บุคคลนั้นได้กำเนิดแต่บิดาเปนคนไทย แม้เกิดในราชอาณาจักรก็ดี เกิดนอกราชอาณาจักรก็ดี
(2) บุคคลนั้นได้กำเนิดแต่มารดาเปนคนไทย แต่ฝ่ายบิดาไม่ปรากฏ
(3)บุคคลผู้กำเนิดในพระราชอาณาจักรสยาม
(4) .....”
[9] ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2480 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2480
[10] มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2493
[11] วีนัส สีสุข, บทวิเคราะห์กรณีนางเรียน เวียนวัฒนชัย: คนเวียดนามที่เกิดในประเทศไทย, ฉบับวันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2555 สืบค้นทาง http://www.gotoknow.org/blogs/posts/503378
[12] ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 24 หน้า 344 เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 126 (หรือพ.ศ.2450)
[13] สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ. 122 สืบค้นทาง http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1-%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%AA_%E0%B8%A3.%E0%B8%A8._122
[14] ปรากฏตามราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 70 ตอนที่ 10 ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2496
ไม่มีความเห็น