ในการทำ KM หัวใจคือ "ตัวปลา" หรือกระบวนการ ลปรร. ซึ่งจะต้องคู่กับการสะกัด หรือจับประเด็น "หางปลา" หรือ ขุมความรู้ ที่มาจากการ ลปรร. โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเรื่องเล่า
โรงเรียนพระยาประเสริฐฯ รับการตรวจเยี่ยมจากทีม ดร. เลขา ปิยะอัจฉริยะ และผู้อำนวยการวัฒนา อาทิตย์เที่ยง หัวหน้า "โครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรทางการศึกษาด้วยการจัดการความรู้” และทีมKM จาก สพท. กทม. เขต 2 เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2549 ในวันนั้น โรงเรียนพระยาประเสริฐฯนำโดยผู้อำนวยการสมาน ชื่นอิ่ม ได้รายงานการปฏิบัติงานตามโครงการ สรุปประเด็นได้ว่า หลังเข้าร่วมโครงการ เราได้ให้ความรู้ “การจัดการความรู้ โมเดลปลาทู” แบบปูพรมกับคณะครู และเริ่มมีเรื่องเล่า ในทิศทาง ต่อยอดโรงเรียนในฝัน เน้นเทคโนโลยีและแหล่งเรียนรู้ โดยกำหนดชุมชนตามกลุ่มสาระการเรียนรู้และเปิดบล็อกบันทึกเรื่องเล่าไปบ้างแล้ว วันนั้นเราได้ข้อแนะนำมากมาย โดยเฉพาะเรื่องการบันทึก ขอยกข้อคิดเห็นของ อาจารย์วิจาณ์ พานิช ท่านเล่าว่าKM มันเป็นแค่เครื่องมือ มันไม่มีชีวิต มันจะก่อผลดีก็ได้ ก่อผลร้ายก็ได้ อยู่ที่ผู้ใช้ วิธีใช้ ใช้ทำอะไร ผมมองว่าผลร้ายที่สุดของ KM คือการที่มันถูกเอาไปเป็นเป้าหมายสุดท้าย มีการเอาไปอวดกัน ว่า "ฉันทำ KM นะ" แล้วก็จบ ซึ่งก็จะจบจริงๆ คือหน่วยงานนั้นก็จะเดินสู่ "นรกอเวจี" ไป สคส. เป็นแค่ "พ่อค้า" เสนอขายเครื่องมือ ไม่ใช่ผู้ใช้เครื่องมือ ที่จริง สคส. ไม่ใช่พ่อค้า เพราะไม่ได้เอากำไรเข้าตัว หวังกำไรแก่แผ่นดินหรือสังคม ซึ่งผู้ทำ "กำไร" คือผู้ใช้ "เครื่องมือ" KM นั่นเอง ไม่ใช่ สคส. ในการทำ KM หัวใจคือ "ตัวปลา" หรือกระบวนการ ลปรร. ซึ่งจะต้องคู่กับการสะกัด หรือจับประเด็น "หางปลา" หรือ ขุมความรู้ ที่มาจากการ ลปรร. โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเรื่องเล่า ผมเริ่มเห็นอย่างชัดเจน ว่าคนในวงการครูจับประเด็นไม่เก่ง จับออกมาเป็นประโยคสั้นๆ ไม่ค่อยได้ ถ้าเช่นนี้ การฝึกอบรม KM แก่ครูควรต้องใช้เวลากับการฝึกจับประเด็นให้มาก ต้องออกแบบกิจกรรมเพื่อฝึกทักษะนี้ ซึ่งสำหรับคนในอีกบางวงการ อย่างที่ผมไปเห็นที่ รพ. ศรีนครินทร์ จับประเด็นเก่งมาก ไม่มีความจำเป็นต้องออกแบบฝึกทักษะจับประเด็นเป็นพิเศษ สคส. เราเริ่มมีความรู้ความเข้าใจ สามารถจำแนกแยกแยะ "ลูกค้า" ได้มากขึ้นแล้ว วิจาณ์ พานิช
๑๖ กย. ๔๙
วันนี้ 18 กันยายน 2549 เราประชุมทบทวน หัวปลาอีกครั้งเพื่อกำหนดแผนงานที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมขึ้น สรุปประเด็นได้ว่า เป้าหมายจะพัฒนาผู้เรียนต่อยอดตามยุทธศาสตร์โรงเรียนในฝัน คือ1. ผู้เรียนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ คิดวิเคราะห์ ôนักเรียนมีทักษะในการแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง ใช้ ICT เพื่อการเรียนรู้ มีนิสัยใฝ่รู้ เรียนเป็น มีความสามารถคิดวิเคราะห์และสร้างสรรค์ 2. ผู้เรียนมีทักษะการดำรงชีวิต มั่นใจในตนเองôนักเรียนมีทักษะการดำรงชีวิต มีคุณธรรม มั่นใจในตนเอง และกล้าแสดงออก 3. ผู้เรียนมีความเป็นไทย ôนักเรียนมีความเป็นไทย มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์สืบสาน ประเพณีศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น