วิธีเข้าเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยชั้นหนึ่ง


เมื่อวาน ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ เราขับรถไปเที่ยวกันระหว่างทางเราก็ได้คุยกันสัพเพเหระนะ

เรื่องหนึ่งที่คุยกันบ่อยๆ ก็คือการเลือกเรียนเพื่อประกอบอาชีพของลูกสาว ผมและคุณแม่เขานั้นพวกเราทำงาน รพ.กันนะ เราใช้ชีวิตอยู่กับการบริการรักษาพยาบาลคนไข้ ตระหนักถึงความยากลำบากของอาชีพแพทย์ พยาบาลมาตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมานี้

 ด้วยความรักลูกและอยากมอบสิ่งดีที่สุดแก่เขา เรากลั่นกรองและก็ช่วยคิด แนะนำ พยายามโน้มน้าวให้เขาเลือกเราในวิชาชีพข้างเคียง นั่นคือ หมอฟันนะ

หากแต่พูดยังไงๆในใจลึกๆ เขาก็ยังสนใจอาชีพแพทย์อยู่ดี

เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็มั่นใจแล้วล่ะว่า คงรักในอาชีพแพทย์ หรืออาจจะผิดพลาดไปแต่เขาก็จะไม่มาว่าคุณพ่อคุณแม่ทีหลังได้ว่าบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ชอบ อย่างนั้น

เมื่อเรามั่นใจว่าลูกชอบ เราก็พูดถึงเรื่องของการทำความฝันให้เป็นจริงกัน

อยากเป็นแพทย์ก็วางแผนที่จะเป็นแพทย์กัน

จริงๆหากเค้าอยากเป็นแพทย์อย่างเดียวโดยไม่สนใจว่าเป็นมหาวิทยาลัยอะไรอย่างนี้ก็ง่ายหน่อยนะ แต่ในความจริงเด็กๆทุกที่ในโลกนี้ก็อยากที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งทั้งนั้น

ตรงนี้ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว

โจทย์ก็มาอยู่ที่ แล้วจะทำอย่างไรให้สามารถเรียนแพทย์ได้และก็ไม่ทิ้งความฝันที่รอคอยมาทั้งชีวิต ตรงนี้เราต้องมีวิธีการนะ

แบบหนึ่งที่ทำกันมาแต่โบราณก็คือ เพื่อความมั่นใจในการสอบให้ชนะนั้นเราก็ต้องฝึกฝนและเตรียมตัวอย่างเข้มข้นตั้งแต่ระดับประถมต่อเนื่องมัธยมเลย จากนั้นก็ไปสอบกัน

แบบนี้ก็น่าจะสอบได้โดยฝากโอกาสการมีรายชื่อไว้ที่ดวงห้าสิบเปอร์เซ็นต์นะ

แบบนี้คือแบบที่เราคิดได้และคนส่วนใหญ่ก็ทำกันอย่างนี้แหละ  

สำหรับครอบครัวเราก็มีวิธีการแบบนี้ครับ

การวางแผนในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ก็เริ่มจาก

๑.การค้นหาก่อนล่ะว่าเราน่ะชอบหรืออยากเป็นอะไร หามาให้ได้ก่อนเลย

กรณีของน้องหยกนี่เค้าอยากเป็นแพทย์

๒.เราก็ต้องเลือกวิธีการ ว่าจะเอาแบบไหน

๒.๑ สอบติดแพทย์ที่มหาวิทยาลัยไหน ก็เอาไว้ก่อนเข้าเรียนไปก่อนแล้วค่อยไปสอบใหม่เพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งในปีต่อไป

๒.๒ สอบติดมหาวิทยาลัยอันดับสอง ก็สละสิทธิ์แล้วไปสอบแพทย์ในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง อันดับสอง อันดับสามให้ได้ หากผิดพลาดก็เรียนอะไรก็ได้แล้วรอสอบใหม่ปีถัดไป

หยกเลือก .. แบบที่หนึ่ง

 

ด้วยการวางแนวทางดังกล่าวข้างต้นคือเมื่อชอบอะไร รักอะไรก็เรียนอันนั้นครับ ส่วนวิธีการก็คือเลือกแพทย์ที่ไหนก็ได้ครับ ตำรับตำราในยุคอินเตอร์เน็ตนี่มากมายเหลือคณา ปัญหาเรื่องตำราและความทันสมัยของเนื้อหาน่าจะตกไปครับ และเรื่องราวของวิชาชีพแพทย์นี่อยู่ที่ตัวคนไข้ซึ่งไม่ว่าที่มหาวิทยาลัยไหน คนไข้นั้นเหมือนกัน ตรงนี้คือจุดสำคัญที่สุดของอาชีพนี้ (ผู้ปกครองมั่นใจอย่างนั้น) ด้วยเหตุผลข้างต้นก็ทำให้เราเห็นว่าการได้เข้าเรียนแพทย์นั้นสำคัญกว่าสถาบันหรือมหาวิทยาลัย แต่เราก็ไม่ได้ทิ้งความฝันของเด็กที่รอคอยมาทั้งชีวิตนะที่อยากจะเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นหนึ่งของเมืองไทย ตรงนี้เราเลือกให้ไปสอบคัดแข่งขันในปีถัดไป ซึ่งเมื่อสอบได้แล้วจะไปหรือไม่ไปเรียนก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ ณ ขณะนั้นอีกที

 เมื่อเราคุยกันมาถึงตรงนี้ ทุกคนที่นั่งรถล้วนพอใจ เพราะทุกความต้องการมีทางออก และมีส่วนดีส่วนเสียแตกต่างกันไป นี่ก็เป็นเรื่องดีดีของสุดสัปดาห์นี้ครับ

หมายเลขบันทึก: 506376เขียนเมื่อ 21 ตุลาคม 2012 14:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 ตุลาคม 2012 06:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ดีใจด้วยคะ ที่น้องรู้จักตนเองเร็ว มีความมุ่งมั่น และมีครอบครัวร่วมวางแผนให้แบบนี้ เป็นกำลังใจให้เสมอคะ

สวัสดีครับคุณหมอ ป. น้องเค้าชัดเจนมากคงประกอบกับเพื่อนๆ ก็นิยมด้วยมั๊ง ก็เลยทำให้เป้าหมายชัด ส่วนวิธีการนั้นก็ช่วยกันนึกจากจากสภาพการแข่งขันในวันนี้ ด้วยว่านักเรียนหลายคนสอบเข้ามหาวิทยาลัยนอกสายตาในคณะที่ชอบได้แล้ว แต่ก็ต้องสละสิทธิ์ทีละยี่สิบคนแล้วไปสอบที่มหาวิทยาลัยที่นิยม จากตรงนี้ เป็นจุดที่พลาดมากๆ สำหรับมุมมองของผม คือถ้าเขาสอบได้ก็เสมอตัว หากไม่ได้แล้วน่าเสียดายมากๆ นะครับ ดีใจจังที่แวะมานะครับ สุขสันต์วันจันทร์ครับ

สวัสดีค่ะคุณเพชร

  • ถือว่าเป็นครอบครัวตัวอย่างนะคะ น่ารักจัง ร่วมคิดร่วมทำ ร่วมตัดสินใจ คุณพ่อคุณแม่เป็นต้นแบบที่ดีด้วยค่ะ
  • คุณยายเป็นกำลังใจให้อีกแรงนะคะ

สวัสดีครับคุณยาย ไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะครับ เป็นเรื่องราวเล็กๆ น้อยน่ะครับ เล่าสู่กันฟัง ช่วยกันคิด ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับ สุขสันต์วันอังคารครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท