รามเกียรติ์ ตอนที่ ๑๑ ทศกัณฐ์สุบิน และการส่งผู้สอดแนม


ฉบับ ดร.สัตยพรต ศาสตรี เป็นต้นเค้าในการเรียบเรียง และฉบับนี้ก็นำมาจากของรัชกาลที่ี ๑ มาเป็นต้นเค้าอีกทีนะครับ

รามเกียรติ์

ตอนที่ ๑๑  ทศกัณฐ์สุบิน และการส่งผู้สอดแนม

สรคะที่ ๙

            วายุบุตร (ลูกพระพาย/หนุมาน)  ผู้ทรงกำลัง  แม้ได้เผาเมืองลงกาวอดวายสิ้นแล้ว  แต่ทศกัณฐ์นั้นก็มิได้หวั่นไหวหรือกังวลแม้แต่น้อย  กลับได้ให้เหล่ายักษาได้สร้างเมืองหลวงขึ้นใหม่  ซึ่งสวยงามและรุ่งเรืองมากกว่าแต่ก่อนนัก  ราวกะว่าเมืองอันทำด้วยทอง  ได้รับการยกย่องจากเหล่าเทวดา  ยักษ์และพญานาคทั้งหลาย

 

          ในคืนหนึ่ง  เมื่อทศกัณฐ์ได้บรรทมหลับ  ได้ทรงสุบินว่า  พระองค์ทรงเห็นเหยี่ยวสองตัวกำลังต่อสู่กัน  ตัวหนึ่งมีสีขาว มาจากทิศตะวันออก  ส่วนอีกตัวหนึ่งมีสีดำ  มาจากทิศตะวันตก  ตัวสีขาวได้ฆ่าตัวสีดำ 

 

          หลังจากนั้น  พระองค์ก็ได้เห็นพระองค์เอง  กำลังเทน้ำมันลงในกะลามะพร้าว  ขณะที่ใส่ไส้ตะเกียงอยู่นั้น  ก็ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งผุดขึ้นมา เพื่อจุดไส้ตะเกียง  ทำให้กะลามะพร้าวลุกไหม้  ไฟได้ลามมาติดฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์  พระองค์จึงได้ตื่นจากบรรทมทันที

 

               ท้าวทศกัณฐ์ได้ไปตรัสถามภิเภก  ด้วยเหตุแห่งความฝันว่า มีผลดีและร้ายอย่างไร  พิเภก  ผู้เชียวชาญในสุบินศาสตร์  ได้กราบทูลว่า ความฝันทั้งสองนี้  เป็นความฝันที่อัปมงคลอย่างยิ่ง และผลของสุบินนั้น  ได้เป็นนิมิบอกถึงมรณสัญญาแห่งเจ้าพี่

 

               เหยี่ยวตัวสีดำ ก็คือ เจ้าพี่ (ทศกัณฐ์) ส่วนเหยี่ยวตัวสีขาว ก็คือ องค์ราม เหยี่ยวตัวสีขาวฆ่าเหยี่ยวตัวสีดำ  ก็หมายถึง เจ้าพี่จะมรณกาล

 

               ส่วนกะลามะพร้าวนั้น  ก็คือ เมืองลงกา  น้ำมันในกะลา  ก็คือ วงศ์ตระกูลของพระองค์ หญืงสาวที่พระองค์ทรงเห็นในสุบินนั้น  ก็คือ ภคินีน้อง (นางสำมนักขา) ของพวกเรา  อันเป็นต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทกัน จนทำให้ไฟได้ลุกไหม้กะลา ก็คือ พระองค์จะสิ้นสูญวงศ์ตระกูลของพระองค์นั่นเอง  และไฟที่ได้ลามมาติดฝ่าพระหะตถ์ของพระนั้น  ก็คือ สีดา ผู้วิเศษ  พิเภก ได้ทูลให้พระเชษฐาได้ทรงคืนนางสีดาแก่องค์รามด้วยสันติ  เพื่อรักษาวงศ์ตระกูลอสูแห่งเรา

 

            อันว่าถ้อยคำที่ดีนั้น  ผู้ที่โง่เขลาที่ไหนจะรับไว้ ราวกะว่า บุคคลผู้รับไว้อยู่ซึ่งหม้อ  อันเชือกขาดแล้ว

 

            ท้าวทศกัณฐ์ได้พิโรธ  ดุด่าพิเภกว่า  สิ่งที่พิเภกคิดนั้น  เป็นจิตที่สกปรกของพิเภก  พระรามจะสามารถทำให้ตระกูลของเราฉิบหายได้อย่างไรกัน  เจ้าอย่าคิดเข้าข้างศัตรู เพราะว่าเจ้านั้น  เป็นผู้โง่เขลาเบาปัญญา

 

              ข้า (ทศกัณฐ์) ผู้ยิ่งใหญ่ในสามโลก  กล้าหาญ  เป็นราชาแห่งอสูร  ส่วนรามนั้น เป็นเพียงแค่ผู้อาศัยอยู่ในป่า  ไร้ซึ่งอาณาจักร จะเปรียบเทียบกันได้อย่างไร  ส่วนเจ้า (พิเภก) ก็เป็นอสูรแต่เพียงชื่อ ความน่ากลัวของเจ้าปลาสสิ้นไปหมดแล้ว

 

         ท้าวทศกัณฐ์จึงได้ขับไล่พิเภกให้ออกจากเมืองลงกา  ราวกะว่าแขนขาบนร่างกายที่เสื่อมโทรมก็ควรจะต้องกำจัดมันให้หมดไป

 

          พิเภกอนุชา  ผู้เร้าร้อนด้วยเปลวไฟ ก็ได้ละทิ้งทศกัณฐ์และเมืองลงกาไป  ราวกะว่า หมอละทิ้งคนไข้ เมื่อโรคนั้นไม่สามารถจะเยียวยาได้

 

          พิเภกได้เดินทางไปพบกับพระรามและกราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้พระองค์ทราบ  พระรามผู้อ่อนโยน  จึงได้รับพิเภกปรองดองเป็นมิตรต่อกัน

 

          พิเภกผู้คุ้นเคยกับเหล่าวานรมาก่อน  คิดว่าเหล่าวานรนี้จะสามารถสู้รบกับเหล่ายักษ์ได้อย่างไร  จึงได้ไปกล่าวกะราชาสุครีพ  สุครีพจึงได้ให้วานรทั้งหลายผู้เก่งกล้า  ได้แสดงฤทธิ์ของตนให้ประจักษ์  โดยพวกหนึ่งถอนต้นไม้ใหญ่  พวกหนึ่งทะลายภูเขา และอีกพวกหนึ่งก็เอามันไว้ในอุ้งมือ

 

          ครั้นพิเภกได้เห็นภาพทั้งหมด  ก็รู้สึกมหัศจรรย์ และกล่าวกะราชาสุครีพว่า  ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นกองทัพท่านมาก่อน  พึงประจักษ์แจ้งก็วันนี้  ชัยชนะจะต้องมีแก่องค์รามแน่นอน

 

            ท้าวทศกัณฐ์  ได้ตรัสถามเหล่าบริวารถึงเสียงที่เกิดขึ้นว่า  เสียงอะไร  และเสียงนี้มาจากไหน  ใครเป็นผู้ทำเสียงนี้  เหล่าบริวารได้ทูลว่าเป็นเสียงของเหล่านักรบวานรของพระราม

 

             ท้าวทศกัณฐ์  ครั้นได้สดับความนั้นแล้ว ปรารถนาจะทราบเรื่องราวของเหล่าศัตรู  จึงได้ส่งยักษ์ผู้สอดแนมตนหนึ่งไปดู  นามว่า ศุกสารณ์ 

 

              ศุกสารณ์  ได้แปลงตนเป็นนกเหยี่ยว  เพื่อเข้าไปยังที่พำนักขององค์ราม  ครั้นถึงพำนักแล้ว  ศุกสารณ์ก็ได้แปลงตนเป็นวานร  อันว่าผู้ที่สามารถจะหยั่งรู้อัตภาพของยักษ์ได้ก็มีแต่ยักษ์ด้วยกันเท่านั้น

 

               พิเภกได้ไปบอกเรื่องนี้แก่หนุมาน  หนุมานจึงได้แปลงกายเป็นเพดาน (ปะรำ) และพิเภกกั่งให้วานรทั้งหลาย  เข้าไปใต้เพดานนั้น  แล้วออกมาจากเพดานนั้นทีละตัว  สิ่งนี้อันเป็นกลอุบายเพื่อจับเท็จศุกสารณ์ 

 

           ศุกสารณ์ยักษา  ถูกพิเภกจับได้เนื่องมาจากว่า ศุกสารณ์เมื่อแปลงเป็นวานรแล้วไม่กระพริบตา  และปราศจากเงา

 

            เมื่อศุกสารณ์ถูกจับได้  ถูกเฆี่ยนตีด้วยแซ่และถูกสักลายทั่วทั้งร่างกาย  แล้วปล่อยให้กลับไปด้วยความอับอาย

 

              ครั้นเป็นเช่นนี้  ทศกัณฐ์จึงได้แปลงเพศเป็นฤษี  และได้เสด็จไปยังกองทัพของราชบุตรแห่งท้าวทศรถ  ถึงกระนั้นพิเภกก็ยังทรงจำได้  แต่ด้วยมนต์  พิเภกจึงนิ่งเงียบไม่อาจพูดอะไรได้

 

             ฝ่ายพระราม  เมื่อไม่ทราบความจริง  จึงได้ตอนรับฤษีด้วยความเคารพบูชิต  และองค์รามก็ขอให้ฤษีได้บอกถึงสิ่งที่ตนเองความกระทำ  เพื่อเป็นการสร้างเกียรติยศให้ไพศาล

 

              ทศกัณฐ์ผู้แปลงตนเป็นฤษี  ได้ตรัสว่า พระองค์ (พระราม) ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะสู้รบกับทศกัณฐ์  และตรัสว่าให้องค์รามนั้น  ได้เสด็จกลับไปประทับอยู่ในป่าพร้อมกับพระอนุชาเช่นเดิม

 

               พระราม ผู้รุ่มร้อนในภายใน  ได้ตรัสกะฤษีเทียมว่า ภรรยาของข้าพเจ้า  ถูกยักษาลักพาตัวไป  ข้าพเจ้าคิดว่ามันควรได้รับโทษอันยิ่งใหญ่  และข้าพเจ้าผู้นี้  นามว่า ราม  จะปลิดหัวทั้งสิบของมันให้ขาดไปทีละหัว  ด้วยลูกศรอันคมเหล่านี้

 

            ท้าวทศกัณฐ์  ครั้นได้สดับวาจาของพระราม  จึงได้รู้สึกพระทัยท้อแท้และปั่นป่วน  เสด็จกลับไปยังเมืองลงกา  แต่นั้นมา  ทศกัณฐ์ก็คิดหาอุบายที่จะเลี่ยงอันตรายเสีย

 

หมายเลขบันทึก: 505718เขียนเมื่อ 15 ตุลาคม 2012 13:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน 2014 19:34 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

วายุบุตร ... ลูกพระพาย .... แล้วน้อย ... สายลม (ลูกพระพายหรือเปล่าค่ะ) .... ล้อเล่นนะคะ

 

พระราม...ตอนนรับ...ฤษีด้วย...ความเคารพบูชิต ... ก็ขอให้ฤษี...ได้บอกถึง...สิ่งที่ตนเองความกระทำ...เพื่อเป็นการสร้างเกียรติยศให้ไพศาล....พระราม....น่ารักมากเลย...นิสัยน้อมน้อม นะคะ

ขอบคุณค่ะ

 

ขอบคุณพี่เปิ้ลนะครับ

ใช่แล้วครับ ผมลูกสายลม ก็คือ วายุบุตร ลูกพระพาย อันเดียวกันครับ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท