จากการได้ไปทำงานการซ้อมแผนรับมือกับเหตุฉุกเฉินของโรงพยาบาลนั้น ผมได้สัมผัสกับทีมทำงานที่หลากหลาย เป็นทีมย่อยๆในทีมช่วยชีวิต..
ก็ทำให้สังเกตได้ว่าบางครั้งบางทีชีวิตคนเรานี่ หลายคนติดยึดกับบทบาทที่สอดรับกับอาชีพแบบเถรตรงมากๆ เกินไป.. การคิดแบบนี้ก็ไม่ดีต่อภาพรวมของอนาคตของครอบครัวของแต่ละคนนะ (ผมเชื่ออย่างนั้น)
หากเราอาชีพด้อยกว่าผู้อื่นและยังมีกรอบคิดที่ยึดมั่นต่ออาชีพนั้นแบบไม่มีทางออก หากคิดต่อไปเรามองไปในอนาคตนั้นคงมองเห็นแต่ความมืดมน
เราเป็นคนทำงานเล็กๆ เราก่ออิฐเพื่อรับเงินจากนายจ้าง ... คนสองคนคิดต่างกัน
คนหนึ่งคิดว่าทำงานสุจริต ตั้งใจทำหน้าที่ไปอย่างเต็มกำลัง ก่ออิฐอย่างมุ่งมั่น สวยงาม นายจ้างพอใจ ได้เลื่อนเงินค่าตอบแทน ได้เลื่อนไปเป็นหัวหน้า ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลงานของนายจ้าง ทำให้มีอาชีพมีรายได้ที่มั่นคงนะ นี่ก็ดีไม่น้อย หลายท่านก็ทำกันอย่างนี้
หากแต่ชายคนที่สองน่ะ คิดต่างออกไปเขาคิดว่าเขาตั้งใจทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ การก่ออิฐของเขานั้นทำเพื่อการสร้างอนาคตที่สดใส ฝันถึงการมีชีวิตที่สุขสบาย ฝันว่าอิฐที่ก่อก้อนที่ถืออยู่นี้คือส่วนหนึ่งของมหาวิหารที่เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเมื่อเวลาผ่านไป ทุกสิ่งที่ได้ทำนั้นเป็นส่วนเล็กๆ ของสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดที่ในชีวิตพึงมีโอกาสในการกระทำได้ เขามุ่งมั่นทุกครั้งที่จะกระทำสิ่งต่างๆ อย่างเต็มกำลัง หวังว่าวันหนึ่งความสำเร็จคงมาถึง ผลลัพธ์จากความตั้งใจมั่นก็ทำให้เขาก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ได้รับความไว้วางใจ ได้รับผลตอบแทนตามแต่ความพึงพอใจของเจ้านายเช่นกัน
เมื่อวันเวลาผ่านไป สองคนนี้ก็ก้าวหน้าในชีวิตกันไปตามแต่เส้นทางที่ วาสนา หรือพระเจ้าลิขิตไว้ ในความคิดของผมก็อยากรู้เหมือนกันนะว่า เส้นทางชีวิตของทั้งสองคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
แต่ส่วนตัวก็มั่นใจว่ามีความแตกต่างกันแน่ๆ หากแต่จะมากน้อยนั้น ก็ยังคงเฝ้าดูอยู่
แนวคิดในเค้าโครงนี้มีคนสรุปแล้วล่ะว่าเป็นอย่างไร หากแต่ในชีวิตจริงที่เราดำเนินอยู่นั้น ผลงานจริงๆ ก็ค่อยๆ ปรากฏ ความรับรู้ถึงความสำเร็จเราก็ค่อยๆ ได้สัมผัส ความปิติ ความผิดพลาด ผิดหวัง หลากหลายความรู้สึกก็มาให้ได้สัมผัสไปตามวันเวลา ที่เคลื่อนเลื่อนไปตามลมหายใจเข้าออกของเรา มันจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อลมหายใจนั้นสิ้นสุดลง ณ วันนั้นเราก็จะได้รับรู้แล้วว่าเป็นจริงดั่งนิทานหรือเรื่องเล่าที่กล่าวขานไว้หรือไม่ อย่างไร นะครับ
หมอเปิ้น เอามาฝาก นะคะ