เมืองเชนไน, อินเดีย
๒๕ มีนาคม ๒๕๕๑
ถึงคุณแม่ ที่เคารพอย่างสูง
คุณแม่อยู่ทางเมืองไทยเป็นอย่างไรบ้างครับสบายดีหรือเปล่า และคุณพี่คงสบายดีกันทุกคนนะครับ ส่วนผมอยู่ทางอินเดียก็สบายดีเหมือนเดิม คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนเรื่องงานวิทยานิพนธ์ของผมตอนนี้ก็ลงมือเขียนไปได้เยอะแล้วประมาณ ๔๐% คาดว่าสิ้นปีนี้ผมคงเขียนวิทยานิพนธ์เสร็จไม่น้อยกว่า ๖๐% ซึ่งผมต้องเร่งทำงานให้จบก่อน ๓ ปี เพราะกลัวจะมีปัญหาเรื่องวีซ่าเหมือนนักศึกษาไทยท่านหนึ่ง วีซ่าของท่านเป็นวีซ่าสำหรับการเรียนปริญญาเอก (Research Visa) มีระยะเวลา ๓ ปีเท่ากับหลักสูตรปริญญาเอก แต่เมื่อครบ ๓ ปีท่านยังเขียนวิทยานิพนธ์ไม่เสร็จ เดือนที่ผ่านมาท่านจึงกลับไปต่อวีซ่าที่กรุงเทพฯ ปรากฎว่าทางสถานทูตอินเดียไม่ยอมต่อให้ เขาบอกว่า Research Visa จะต้องได้รับหนังสืออนุมัติจากรัฐบาลที่กรุงนิวเดลีเสียก่อน ทางสถานทูตจึงจะยอมต่อวีซ่าให้ ท่านจึงต้องทำหนังสือขออนุมัติจากรัฐบาลอินเดียที่นิวเดลีซึ่งต้องใช้เวลานานพอสมควร
ตอนนี้ที่เชนไนมีนักศึกษาไทยเหลืออยู่ ๒ คน คือผมกับอาจารย์สาคร ส่วนท่านอื่น ๆ ก็กลบไปเยี่ยมบ้านที่เมืองไทยกันหมด อาจารย์ ดร.สุนันท์หลังจากกลับไปแล้วก็ได้ติดต่อมาหาผมเพื่อให้ขอเอกสารต่าง ๆ จากมหาวิทยาลัยให้ เพราะในการที่จะกลับเข้าทำงานจะต้องมีหนังสือรับรองการจบปริญญาเอกยื่นต่อหน่วยงานของตนจึงจะกลับเข้าทำงานได้ พรุ่งนี้ผมจะส่งเอกสารไปให้ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์
สำหรับรางวัลที่ผมฝากอาจารย์สุนันท์ไปให้นัทนั้น แม้ว่าจะไม่มีมูลค่ามากมายแต่ก็ให้ถือว่าเป็นการให้รางวัลในความดีที่ได้ทำ เป็นการให้กำลังใจเพื่อจะได้มีความมุ่งมั่นเพียรพยายามต่อไป การที่ผมให้กระเป๋าเพราะอยากให้เขาสะพายไปเรียนทุกวัน ให้เขาเห็นความสำคัญของการเรียน ส่วนที่ให้เสื้อกีฬาเพราะอยากให้เขาออกกำลังกายเป็นประจำ ซึ่งการเล่นกีฬาจะช่วยสร้างเสริมพลังกายและพลังใจเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเด็กในวัยเรียนการเล่นกีฬาเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะมันจะช่วยให้เขาได้เรียนรู้การเข้าสังคม และช่วยดึงเขาออกจากสิ่งเสพติดทั้งหลายด้วย ผมไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ว่า เมื่อเขาเป็นนักเรียนเขาก็ต้องขยันเรียนตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสืออย่างเดียว ห้ามเล่นหรือคบเพื่อนฝูงเพราะจะเสียการเรียน การคิดอย่างนี้ไม่ถูกต้องนัก ส่วนที่ถูกคือเราต้องแนะนำให้เขารู้จักเลือกคบเพื่อนฝูงที่ดี และรู้จักเลือกเล่นกีฬาที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้นอกห้องเรียนและนอกตำราเรียน เพราะการเรียนรู้นั้นไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียนฟังอาจารย์สอนหรือแค่ในตำราเรียนเท่านั้น
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะชี้แจง คือเรื่องที่แม่และพี่ภาณีกังวลว่าผมกับนัทจะเอาตัวไม่รอดแม้ว่าจะมีความรู้สูง เพราะเป็นคน "ปากไม่ไว ไอไม่ดัง" จริงอยู่ว่าสังคมให้การยอมรับคนที่พูดเก่ง ตามสำนวนไทยที่ว่า "ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี" ความหมายก็คือคนที่พูดเก่ง ถ้าเป็นนายร้อยก็จะได้เป็นร้อยเอก คือมาเป็นอันดับหนึ่ง คนที่เก่งการคิดคำนวนตัวเลขก็จะมาเป็นที่สอง คือร้อยโท ส่วนพวกที่เก่งหนังสือหรือเก่งภาษาก็จะมาเป็นที่สาม คือร้อยตรี แต่ในสังคมไทยสมัยปัจจุบันนี้มีการแข่งขันกันสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันกันทางความคิดหรือสติปัญญา ซึ่งคนที่จะคิดได้เก่ง ก็คือคนที่เก่งในการคิดคำนวนและคนที่เก่งภาษาหรือตัวหนังสือ ไม่ใช่คนที่เพียงแค่พูดเก่ง แน่นอนว่าคนที่พูดเก่งอาจจะเอาตัวรอดได้ดีในสังคมทั่วไป แต่ถ้าเป็นสังคมของคนมีความรู้มีการศึกษา คนที่จะเอาตัวรอดจริง ๆ คือคนที่เก่งในการใช้ความรู้หรือสติปัญญา นั่นคือคนที่เก่งในการคิดคำนวนและคนที่เก่งภาษาหรือตัวหนังสือ เพราะฉนั้นเราต้องถามตัวเองว่าเราอยากให้เขาอยู่ในสังคมระดับไหน ถ้าอยากให้เขาอยู่ในสังคมของคนมีความรู้และสติปัญญา ก็สนับสนุนให้เขาเก่งเรื่องการใช้ความคิดเถิด แม้ว่าเขาจะพูดไม่ค่อยเก่งก็ไม่เป็นไร ขอให้เขาเก่งจริง ๆ ในการใช้ความรู้ความคิดและสติปัญญาก็พอ
สุดท้ายนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ผมขออ้างอิงเอาคุณพระศรีรัตนตรัย คือคุณพระพุทธ คุณพระธรรมและคุณพระสงฆ์ จงช่วยอภิบาลรักษาให้คุณแม่มีแต่ความสุขกายสบายใจ ปราศจากโรคาพยาธิทั้งมวล และขอให้พี่ ๆ ทุกคนมีแต่ความสุข ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปราถนาทุกประการ
ด้วยความเคารพอย่างสูง
บรรพต แคไธสง
ไม่มีความเห็น