กติกาของการเปิดใจ ข้อที่ 2 คือ
พูดเรื่องของตัวเอง...แต่ความดี...อย่าพูด... หลายคนเริ่มงง...ว่าอ้าวความดีของเราทำไมไม่ให้พูดล่ะ
อิชั้นเองอาจจะสะเพร่าไปหน่อยที่อธิบายสั้นไปนิ้ดส์นึง...
การกล่าวถึงความดีของเราก็สามารถพูดได้ค่ะ (อิชั้นไม่กล้าเถียงท่านหรอกค้า....กลัวววว. ..) เล่าได้....แต่อย่าโม้นะคะ เพราะจะกลายเป็นการโอ้อวดไปซะนี่...การพูดโอ้อวดเป็นการเปิดใจแต่ไม่เป็นผลดีกับตัวเอง เพราะไม่มีชอบให้คนอื่นเด่นเกิน ยกเว้นคนผู้นั้นจะเป็นผู้ที่มีมุทิตา คือยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่น
นะโยม...
แต่อิชั้นก็ขอนั่งยัน(เพราะขณะนี้กำลังนั่งอยู่...จริง ๆ นะ) อีกครั้งว่า....ถ้าความดีของเราออกมาจากปากผู้อื่นย่อมสวยกว่า....และมีคุณค่ามากกว่าเจ้าค่ะ
เรามาพูดถึงกติกาข้อที่ 3 ของการเปิดใจกันดีกว่านะคะ
กติกาของการเปิดใจข้อที่ 3 คือ
เปิดใจพูดถึงความผิด ข้อบกพร่อง จุดอ่อน ของตนเอง
ความผิด ข้อบกพร่อง จุดอ่อน ของเรา ถ้าเราพูดเอง...จะดูดี
แต่ถ้าคนอื่นพูดถึงความผิด ข้อบกพร่อง ของเรา ...เราจะดูไม่ดี...
อ๊ะ...อ๊ะ...เริ่มมึนแล้วใช่ไหมคะเนี่ย
อย่าเพิ่งมึน... อิชั้นมีตัวอย่าง..มาเล่าให้ฟัง
ตัวอย่างเรื่องที่ 1 พยาบาลชื่อตุ๊กติ๊กฉีดยาให้ผู้ป่วย...
ปรากฏว่าแทนที่จะฉีดยาชนิด ก. ให้กับผู้ป่วย
กลับกลายเป็นว่าระหว่างเตรียมยาเธอมัวแต่เม้าท์...เลยหยิบยาชนิด ข. มาผสมแล้วก็นำไปฉีดให้กับผู้ป่วย
เมื่อพยาบาลตุ๊กติ๊กจะเซ็นต์ชื่อเพื่อแสดงว่าฉีดยาให้กับผู้ป่วยแล้ว ปรากฏว่า ชื่อยาไม่ตรงกับในใบตารางยา
ความรู้สึกแว๊บแรกที่เกิดขึ้น คือ ตายแล้ว...!!!
ฉีดยาให้ผิด...ถ้าหมอรู้ละ...ตายแน่ ๆ ซวยแล้วซิเรา หมอโต้งคนนี้ยิ่งขี้วีน..ขี่โมโห.อยู่ด้วย ไม่บอกดีกว่า...
แต่..โอ้ว...พระเจ้าไม่ยอมช่วยตุ๊กติ๊ก...เพราะปรากฏว่าผู้ป่วยเกิดแพ้ยา...
หมอโต้งรู้จนได้ว่า ผู้ป่วยได้รับยาฉีดผิดชนิด เลยเกิดการต่อว่า ตำหนิอย่างรุนแรง และมีการนำไปบอกต่อว่าอย่าไว้ใจพยาบาลตุ๊กติ๊กอีก
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...
พยาบาลที่คิดเป็น...เมื่อฉีดยาให้ผู้ป่วยผิด เกิดความผิดพลาดขึ้น
สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ รายงานหมอให้ทราบทันที เพื่อหาทางแก้ไข
เรื่องหนัก....จะได้กลายเป็นเบา
เรื่องใหญ่....จะได้กลายเป็นเรื่องเล็ก
เรื่องเล็ก.....จะได้กลายเป็นไม่มีเรื่อง
เมื่อทำผิดพลาดแล้วบอกให้คนอื่นรู้...จะดูดี
ถ้าคนอื่นมารู้ว่าเราทำผิดพลาดจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ จนบางครั้งแก้ไขไม่ได้
อิชั้นขอยกตัวอย่างเรื่องที่ 2
คุณรู้จักน้องต้น ที่พิการมีขาข้างเดียวจากโฆษณาโครงการสานรักจาก AIS ใช่มี๊ยคะ น้องต้นออกมายอมรับอย่างกล้าหาญว่าครอบครัวตนเองยากจน ความพิการเกิดขึ้นอย่างไร และตัวเองสู้ ไม่ท้อถอยกับสภาพของตนเอง ภาพของน้องต้นกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนเสมือนว่าน้องต้นนั้นใช้ชีวิตเหมือนกับนักเรียนทั่วไป ทั้งเรียน และเล่นกีฬาตะกร้อ และอื่น ๆ
น้องต้นเปิดใจของตนเอง ว่าตนเองมีความสมถะ และมีปมด้อยอย่างไรให้สังคมรับรู้ เห็นมั๊ยคะว่าน้องต้นนั้นดูดี มีคุณค่าขนาดไหน
ดังนั้น ถ้าเราไม่เปิดใจ ปกปิดข้อผิดพลาด ความบกพร่อง จุดด้อย หรือปมด้อย คนอื่นมารู้มีแต่จะดูหมิ่น เหยียดหยาม ถึงการไม่ยอมรับตนเอง
แต่ถ้าเราเปิดใจ บอกข้อไม่ดี ข้อบกพร่อง ข้อด้อย ของเราให้คนอื่นทราบ กลับกลายเป็นว่ามีแต่คนยกย่องสรรเสริญ ถึงความกล้าหาญ ยอมรับสภาพความเป็นจริง เราจะยิ่งดูดี... มีคุณค่า...
เปิดใจนั้นดีแน่....อยู่ที่แก้ไขความคิด
ข้อ 1 ต้องต้องจิต..เลิกยุ่งเรื่องของคนอื่น
ข้อ 2 พูดเรื่องตน โอ้อวดเรื่องดีนั้นต้องฝืน..
ข้อ 3 พูดเรื่องที่ตัวเองผิด...จะพิชิตจิตผู้อื่น
จำให้มั่น ทั้ง 3 ข้อ เปิดใจหนอ..
ก่อประโยชน์ทั้งเขาและเราเอย...
เป็นบทกลอนที่ไม่ค่อยเป็นกลอนเท่าไหร่
แต่หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์กับทุกคนค่ะ
อ่านๆไปกลายเป็นกลอนแล้วค่ะ แต่สาระยังแน่นอยู่เสมอ
ขอบคุณสำหรับความรู้ขอรับ
การยอมรับข้อด้อยตัวเอง คือ ความซื่อสัตย์ต่อตัวเองครับ
เป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกๆ ในการทำงานให้สำเร็จ
ข้าน้อยคารวะท่านด้วย โยเกิร์ตรสลิ้นจี่
ว้า..ไม่อยากให้จบเลย...อยากฟังต่ออีก
แม้จะเป็นสามข้อสั้นๆแต่ถ้าทำได้อย่างสม่ำเสมอ...ไม่แคล้วว่า...จะต้องมีใจของใครหลายคนมาให้เราเปิดอย่างแน่นอน..(ฝันหวาน).
..แต่นู๋ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าจะสามารถทำได้ครบทุกข้อทุกครั้งและกะทุกคนที่เขามาขอเปิดใจด้วย.
..เพราะอย่างตอนนี้เกิดมีเศรษฐีบ่อน้ำมันมาตาม...อยู่ กฎข้อที่สองมักจะเป็นเบสิคที่เกิดก่อน(ข้อที่สามนี่จะลืมมันไปชั่วคราว)ตามมาด้วยข้อที่หนึ่ง ศึกษาและสำรวจข้อมูลของว่าที่..รวมถึงบุคคลที่อาจมีผลกระทบต่อการสร้างสะพานมิตรภาพ(ตามสำนวนจีนที่ว่ารู้เขารู้เรารบร้อยครั้งก็(อยาก)จะชนะร้อยครั้ง)เอ๊ะแล้วกฎข้อสามของเจ๊ นู๋จะใช้ตอนไหนดีล่ะนี่...แฮ่ะๆแหย่เล่นนาจ๊ะ...ห้ามเอาคืนน้องแรงเน้อ..นู๋กลัว...พี่มากๆ