หวนนึกไปถึงสมัยเด็ก ๆ เมื่อถึงวันพฤหัสบดีครั้งใดก็จะเบื่อมาก เพราะเป็นวันที่ต้องแต่งเครื่องแบบลูกเสือ เพราะเครื่องแบบลูกเสือมีมาก ทั้งหมวก ผ้าผูกคอ ป้ายชื่อ สารพัดจะประดับเข้าไปกลายเป็นภาระก้อนใหญ่สำหรับเด็กวัย ๑๐ กว่าขวบ แต่เมื่อถึงชั่วโมงเรียนจะสนุกกับการได้เรียนรู้ และเล่นกิจกรรมฐานต่าง ๆ ยังจำได้แม่นยำถึงเงื่อนเชือกที่ผูกง่าย ๆ แต่มัดแน่น ไม่หลุด ความทรงจำเกี่ยวกับลูกเสือจึงมีทั้งที่ประทับใจและไม่ประทับใจ
วัยเด็ก เราเรียนที่พระโขนง (ชื่อโรงเรียน บังเอิญไปพ้องกับสถานที่) จำได้ว่า มีอาจารย์วาริน เป็นผู้กำกับลูกเสือ ท่านจบวิทยาลัยพละศึกษา ถ้าต้องเรียนลูกเสือกับท่านครั้งใด เราก็จะหลบหนีหายหน้าไปทุกครา เพราะถ้าต้องเรียนกับท่านก็จะต้องออกเรี่ยวออกแรงกันมากมาย เรียกว่าฝึกหนักจนเบื่อกันไปเลย ที่สนามหน้าอาคาร ๔ จะมีเสาประจำค่ายของลูกเสือ แกะสลักลวดลายเหมือนรูปปั้นของเผ่าอินคาเลย (สมัยนั้น มีแค่ ๗ อาคาร ในพื้นที่ ๓๓ ไร่ครึ่ง) แต่ก็มีเพื่อนหลายคนที่ชอบและกลายเป็นขาประจำ สมัยนั้นจำได้แม่นว่า มีเพื่อนหลายคนเหล่านี้ ได้กลายเป็นลูกเสือจราจร ช่วยงานโรงเรียนเรื่องการจราจร มีสายสะพายสีขาวเหมือนตำรวจ เท่ชะมัดยาด และที่แขนก็จะมีป้ายเล็ก ๆ ติดปะเต็มแขน แต่ละคนจะมีสมุดประจำตัวไว้จดบันทึกความดีที่ทำ และเอามาขึ้นคะแนนตอนปลายปี กิจกรรมลูกเสือคึกคักก็เพราะเขาผู้นี้เอง
แต่เราไม่สู้อดทนนัก จึงไม่เลือกที่จะเป็นลูกเสือแบบเพื่อนๆ ครั้งนั้นโรงเรียนก็มีทางออกให้สำหรับคนที่ไม่ชอบแต่งเครื่องแบบ แต่ได้เรียนลูกเสือเหมือนกัน เรียกว่า “ลูกเสือขาว” เราว่าผู้คิดก็ฉลาดดีและชื่อก็เท่มากด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นการเรียนทฤษฎี ประเภทท่องตำรามากกว่า ไม่มีการเข้าค่ายหรือพักแรมผจญภัยแบบในหนังสือ
ความทรงจำครั้งนั้น เลือนหายไปหมดแล้ว จนกระทั่งอีกสามสิบปีต่อมา มีงานชิ้นหนึ่งที่ต้องทำให้กลับมาคิดมันอีกครั้ง เพราะหน่วยงานเกี่ยวกับการเลือกตั้งแห่งหนึ่งต้องการกิจกรรมสำหรับเด็กเยาวชน ขอให้ช่วยคิดโครงการให้ เอ่ยถึงเยาวชน เราก็คิดถึง “ลูกเสือ” เราและเพื่อนจึงเสนอแนวคิดเรื่องลูกเสือประชาธิปไตยให้ พร้อมแผนพัฒนาอีก ๓ ขั้นตอน รวม ๑๐ ปี นอกจากนั้นแล้ว ครั้งนั้นยังช่วยเขียนนิยายผจญภัยของลูกเสือ ให้ด้วยอีก ๑ ชุด (ตอนนั้นตั้งชื่อว่า ชาติ พันธ์เสือกะว่าให้เป็นแบบลูกผู้ชายหัวใจทรนง..(ฮา.)
มาถึงวันนี้ ที่ต้องคิดถึงเรื่องลูกเสืออีกเป็นครั้งที่ ๒ เพราะได้มีโอกาสทำงานเกี่ยวกับการเข้าค่ายของลูกเสือ เป็นกิจกรรมที่มีลูกเสือจากทั่วประเทศรวมหลายพันคน เข้ามาใช้ชีวิต ๓ วัน ด้วยกันภายในค่าย ซึ่งเขาเหล่านั้น เป็นเด็กนักเรียนวัยประถม ถึงอาชีวศึกษา รวมถึงครูผู้ควบคุมอีกเกือบ ๕๐๐ คน
รมต. กระทรวงศึกษาธิการ ให้ความสำคัญและให้เกียรติ ไปเป็นประธานด้วยตนเอง (จริง ๆ แล้วเราเรียกท่านจนติดปากว่า อาจารย์สุชาติ..และเราก็ชอบอย่างนั้นมากกว่า..)
ตลอด ๗ วันที่ไปอยู่ (เราต้องไปเตรียมงานและเก็บงานภายหลัง) รวมถึงระยะเวลาที่ต้องร่วมประสานกับทีมงานอีกจำนวนมาก มีปัญหามากมายให้ขบคิดและแก้ไขตลอด แก้ได้บ้าง แก้ไม่ได้บ้าง ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง รับคำขอบใจบ้าง รับคำติเตียนบ้าง มากมาย ได้เรียนรู้นิสัยลูกเสือ ผู้กำกับ ผู้บังคับการค่าย และอื่น ๆ อีกมากมาย ๗ วันของการทำกิจกรรมค่าย เป็น ๗ วันที่เรียนรู้อย่างมากมายจริง ๆ
ประธาน ยืนรับการเคารพ จากการสวนสนามของลูกเสือและเนตรนารี
.. น่าทึ่ง ขึงขัง ถึงกับต้องออกปากชม และอดขนลุกไม่ได้ เมื่อเห็น เนตรนารี สวนสนามอย่างสง่างาม ก้าวเท้าอย่างสม่ำเสมอ ตบเท้าเสียงดัง ตรงเป๊ะ..
ทำให้คิดถึงความหมายอันแยบคายของการอยู่ค่ายพักแรม ซึ่งน่าจะถือเป็นหัวใจของการเรียนวิชาลูกเสือได้ ถ้าเรียนวิชาลูกเสือแล้ว มิได้เข้าเข้าค่ายพักแรมก็เหมือนเรียนไม่ครบ และถึงแม้จะได้เข้าพักแรมแบบแรมคืนในโรงเรียน บังกาโล หรือรีสอร์ท ก็ยังถือเป็นการพักแรมไม่ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย การพักแรม จำเป็นต้องพักในราวป่าธรรมชาติหรือในทุ่งธรรมขาติ หรือในค่ายลูกเสือจริง ๆ เพราะนี่คือบททดสอบสำคัญว่า ตนเองสอบผ่านการเรียนรู้วิชา “ลูกเสือ” หรือไม่
กิจกรรมลูกเสือเกิดขึ้นและอยู่จนมาถึงวันนี้ (วันที่เขียนบันทึกนี้) ก็นับเป็นเวลา ๑๐๑ ปี เป็นกิจกรรมเก่าแก่ที่สุด แต่ทว่า บทสรุปสุดท้ายของลูกเสือเด็ก ๆ ในวันนั้น คือบทเริ่มต้นสำคัญของชีวิตผู้ใหญ่ในอีกหลายสิบปีข้างหน้า อย่างน่าอัศจรรย์ และถึงแม้จะเป็นครูลูกเสือ ผู้กำกับลูกเสือ ก็ใช่ว่าจะผ่านการทดสอบจากค่าย ได้ทุกครั้ง และได้ทุกคนเสมอไป..
อานุภาพของกิจกรรมเก่าแก่กว่า ๑ ศตวรรษ เช่นลูกเสือ มันช่างน่าอัศจรรย์นัก
..... (โปรดติดตามตอนต่อไป...)
ขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจนะครับ...