การเลี้ยงดูลูกของพ่อแม่ในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลความรู้ให้เท่าทันยุคสมัย เพราะในปัจจุบันเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนทำให้ครอบครัว และตัวเด็กๆเองต้องเผชิญกับสังคมโลก ที่ต้องปรับตัวและพัฒนาความสามารถให้พร้อมที่จะรับมือ กับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป การมีความรู้ความเข้าใจ ในการส่งเสริมศักยภาพของเด็กจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการวิจัยเกี่ยวกับสมองของมนุษย์ ทำให้เรารู้ว่าเด็กทุกคนล้วนมีศักยภาพอยู่ในตัวตั้งแต่เกิด (ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์, 2543) ถ้าเด็กทุกคนได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ได้รับการกระตุ้นส่งเสริมการพัฒนาสมองและการเรียนรู้อย่างเหมาะสม จะทำให้เด็กยุคใหม่เติบโตอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี
มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2542) ชี้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการเตรียมเด็กให้เติบโตเป็นคนดี คนเก่ง มีความสุข และประสบความสำเร็จในชีวิตได้ คือ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงปีแรกๆของชีวิตเด็ก โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีแรก โดยเรียนรู้จากสิ่งรอบๆตัวเด็ก ซึ่งจะมีส่วนช่วยเสริมสร้างพัฒนาการ ไม่ว่าจะเป็นด้านสติปัญญา ความฉลาด พัฒนาการทางอารมณ์ และอื่นๆ การกระตุ้นพัฒนาการทางสมอง และส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ของลูกได้ดี เช่น การได้อุ้มลูก อ่านหนังสือให้ลูกฟัง ไม่ว่าพ่อแม่จะมีการศึกษาระดับใด หรือมีความสามารถในการอ่านมากน้อยเพียงใดก็สามารถทำได้ แม้จะอ่านผิดอ่านถูก ก็สามารถกระตุ้นพัฒนาการได้ทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นพลังมหาศาลที่จะช่วยให้ลูกรักการอ่าน รักการเรียนรู้ ทำให้ลูกสนใจภาษา และเกิดความคิด จินตนาการ
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ลูกได้สัมผัสถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดของพ่อแม่อันจะทำให้ลูกได้รับรู้ถึงการที่พ่อแม่ให้ความสำคัญกับลูก เกิดความผูกพัน ความมั่นคงทางจิตใจ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ลูกประสบความสำเร็จในชีวิตในภายภาคหน้า แต่จากผลการวิจัย (เดเบอรา แอล เวลซ์ (Dr.Deborah L Welch)) พบว่า พ่อแม่ชาวอเมริกันเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่อ่านหนังสือให้ลูกฟัง หรือพ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่เคยคุยกับลูก เพราะคิดว่าลูกยังเล็ก ยังไม่รู้ภาษา ยังไม่เข้าใจอะไร ซึ่งเท่ากับเสียโอกาสทองที่จะพัฒนาสมองลูกให้เจริญเติบโตเต็มตามศักยภาพ
นอกจากการสัมผัสทางร่างกายจากพ่อแม่ จะส่งผลถึงพัฒนาการทางสมองและอารมณ์ของลูกแล้ว ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาการ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ยังช่วยให้พ่อแม่ได้ทราบถึงแต่ละขั้นตอนการเจริญเติบโตของสมองลูก ซึ่งสมองจัดเป็นอวัยวะสำคัญที่สุดของร่างกายก็ว่าได้ เพราะสมองเป็นอวัยวะในการควบคุม การทำงานของหัวใจ ระบบภูมิคุ้มกัน ฮอร์โมนต่างๆ รวมทั้งสติปัญญา ความคิด การเรียนรู้ ความฉลาด พฤติกรรม และบุคลิกภาพของคนเราด้วย เราไม่สามารถบอกได้ว่าสมองส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือจุดใดจุดหนึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับความฉลาด และความคิด แต่เชื่อกันว่าสมองส่วน "นีโอคอร์เท็กซ์" มีหน้าที่เกี่ยวกับความฉลาด และความรู้สึกนึกคิดของคนเรา
ถ้าหากพูดถึงความฉลาด พ่อแม่จำต้องทราบถึงการเปลี่ยนแปลงรอยหยักของพื้นผิวสมองที่เรียกว่า "คอร์เท็กซ์ (Cortex)" รอยหยักนี้จะต้องมีจำนวนและปริมาณที่ถูกต้องพอเหมาะ ถ้ามีมาก หรือน้อยเกินไปจะทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ไม่ปกติ บางคนเข้าใจผิดคิดว่าสมองลูกยิ่งมีรอยหยักมากเท่าใดก็จะยิ่งทำให้ลูกฉลาดมากเท่านั้น แต่จริงๆแล้วจะต้องมีปริมาณที่พอเหมาะพอดี (ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์, 2543) ที่พื้นผิวสมองนี้ เซลล์สมองจะมีการจัดเรียงกันเป็น 6 ชั้น แล้วมีการสร้างเส้นใยสมอง หรือใยประสาทขึ้นมา เพื่อเป็นส่วนที่ใช้ติดต่อสื่อสารส่งข้อมูลถึงกัน ซึ่งเรียกว่า ซีนแนปส์ (Synapse) นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าถ้าหากสมองลูกมีเส้นใยสมอง และจุดเชื่อมต่อมากเท่าไหร่ ลูกจะยิ่งฉลาดและมีความสามารถสูง และสิ่งที่ทำให้เส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อนี้มีปริมาณมากขึ้น ก็คือข้อมูลที่ลูกได้รับนั่นเอง อย่างไรก็ตามเซลล์สมองหลังคลอดจะมีอยู่ประมาณ 1 แสนล้านเซลล์ ซึ่งจะไม่มีการสร้างเพิ่มอีก แม้เซลล์บางส่วนจะถูกทำลายไปก็ตาม แต่เซลล์สมองที่เหลืออยู่จะพยายามทำหน้าที่ทดแทนให้ จึงทำให้ด้วยวัยเพียง 3 ขวบของลูก สมองจะมีขนาดเกือบเท่าสมองผู้ใหญ่ คือประมาณ 80 % ของสมองผู้ใหญ่ นับว่าสมองของลูกในช่วง 3 ปีแรกหลังคลอดเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ในช่วงพัฒนาการทางสมองของลูกได้มีการสร้างเส้นใยสมอง และจุดเชื่อมต่อทั้งหลายขึ้นมานี้ หากเส้นใยสมองไม่ได้รับการกระตุ้นจากภายนอก ก็จะไม่เกิดประจุไฟฟ้าขึ้น หรือไม่เกิดการทำงาน และถูกกำจัดไป คงเหลือไว้แต่เส้นใยสมอง และจุดเชื่อมต่อที่ทำงานบ่อยๆ คือได้รับข้อมูลจากภายนอกบ่อยๆ
ถ้าหากเราดูแลในเรื่องของสติปัญญา หรือความฉลาดของเด็กไม่เหมาะสม โดยเร่งพัฒนาการมากเกินไป หรือปล่อยปละไม่สนใจให้เด็กได้รับการกระตุ้นอย่างเหมาะสมตามวัยก็จะทำให้มีปัญหาด้านสติปัญญาและความฉลาดของลูกได้ โดยสิ่งที่เด็กต้องการสำหรับการพัฒนาสติปัญญาและความฉลาดคือ สิ่งแวดล้อมหรือการเลี้ยงดูที่ถูกต้องเหมาะสม ผู้เลี้ยงดูควรให้โอกาสเด็กได้เรียนรู้สิ่งต่างๆเพื่อเก็บข้อมูลเข้าไปสร้างเป็นโครงสร้างความรู้ในสมอง แต่ก็ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับวัยของเด็กด้วย
หากพ่อแม่ และครูผู้สอนทราบกระบวนการเรียนรู้ทางสมอง เช่นดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว ผู้ที่ยังมีลูกอยู่ในช่วงวัยที่สามารถเตรียมพัฒนาการได้ทัน ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อพ่อแม่และเป็นโอกาสที่ลูกจะได้มีพัฒนาการทางสมองเต็มตามศักยภาพ แต่หากช่วงวัยของเด็กล่วงเลยมา โดยไม่ได้รับการกระตุ้นพัฒนาการทางสมอง พ่อแม่และครูผู้สอนจำจะต้องร่วมมือกันจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ที่จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางสมอง พฤติกรรม และความคิด ความจำ จินตนาการของเด็กอย่างใกล้ชิด เพราะศักยภาพและการเรียนรู้ของคนสามารถพัฒนาได้จนตลอดชีวิต
ผู้เขียน ปรียาพัชร ตุลาเนตร
ตั้งน๊านนนน กว่าจะเขียนเสร็จ แถมเขียนเสร็จ ก็มาติดตรงขี้เกียจพิมพ์ เว้นช่วงอีกน๊านนน เลยพี่น้อง เหลือ อีก สองเรื่อง เขียนเสร็จแล้ว เดี๋ยวเรื่องนี้ ก็จะมาแชร์ แต่ละประเด็น รวมทั้ง ประสบการณ์แต่ละประเด็น ตรงแสดงความคิดเห็นนี่เลยแล้วกันนะคะ เพราะบทความก็ไม่ควรจะยาว ...ความจริง เขียน แต่ละเรื่อง ไม่อยากให้ยาวเกิน 2 หน้า ครึ่ง แต่บางเรื่อง ที่ยังไม่ได้พิมพ์ อาจจะตกสามหน้ารึป่าวไม่แน่ใจ ...รู้ว่าคนไม่มีความอดทนในการอ่านมากนัก ก็จะพยามเขียนเรื่อง ต่อๆไปให้พอเหมาะพอดี มากขึ้น ตัดทอนที่ไม่จำเป็นออกไป ..จะพยามไม่ให้เกิน 2 หน้าให้ได้ ไม่รู้จะทำได้รึป่าว ...เขียนแล้วก็อยากให้อ่าน...ฉะนั้น ในเมื่อคนไทยเรามีความเป็นนักอ่านน้อยมาก เมื่อเทียบกับชาติอื่นๆเขา ก็จะพยามให้มันสั้นๆค่ะ ใครมีข้อคิดเห็น ร่วมแชร์ประสบการณ์ตัวเอง แสดงความคิดเห็นไว้เลยนะคะ เข้ามาอ่านค่ะ บางทีอาจไม่ได้ตอบ เพราะมีเวลาเข้าผ่านมือถือ แต่มันโพสยาก
น่าสนใจมาก ๆ เลยค่ะ
น้องคะ พิมพ์ใน window word ก่อนแล้วคัดลอกแปะก็ดีค่ะ
เวลาระบบขัดข้องจะได้ไม่หายไป
พี่เคยหายบ่อย ๆ จนชิน (แต่ไม่วายขี้เกียจพิมพ์ร่างก่อน)
หายบ่อย ๆ โมโหไม่บันทึกเลยก็มีค่ะ
แบบเแ้นเวิร์ดก็มีค่่ะ ปกติก็พิมพ์ลงเวิร์ดก่อน แต่วันนี้กลับดึก เลยเผยแพร่ก่อน ค่อยไปลงเวิร์ด แล้วปริ๊นซ์ออกมาค่่ะ ขอบคุณค่า