ฉันมองอินเดีย ๑


อินเดีย

 

     ฉันมองอินเดีย


       ภายใต้โครงการสัมมนาครูโรงเรียนวิถีพุทธ รุ่นที่

    ณ สาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล

คำนำ

                อินเดีย  ดินแดนภารตะที่คงความเก่าแก่ทางอารยธรรมตั้งแต่สมัยพุทธกาล   ในการเดินทางครั้งสุดท้ายก่อนหน้านี้  ดิฉันได้ไปประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้และเขียนหนังสือชื่อว่า“ความรู้สึกและศรัทธาCanana”ซึ่งเป็นประเทศที่เจริญประเทศหนึ่ง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสะอาด มีระเบียบวินัย  แต่การเดินทางในครั้งนี้มันช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  เหมือนสูงสุดสู่สามัญ   อินเดียมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย  สร้างความตื่นตาตื่นใจ    อินเดียมีเสน่ห์ที่ทำให้ดิฉันประทับใจมิรู้ลืม   ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธโดยกำเนิด  เราควรที่จะไปนมัสการสังเวชนียสถาน ๔ ตำบล  คือ  ที่ประสูติ   ตรัสรู้   แสดงธรรม    และดับขันธปรินิพพาน   ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  อันสมควรแก่พุทธศาสนิกชนพึงจะได้ไปจาริกสักครั้งหนึ่งในชีวิตเพื่อให้ซึมซาบถึงเรื่องราวของพุทธประวัติ จากสถานที่จริง และความหมายของพระธรรมคำสั่งสอน  

                การไปอินเดียในครั้งนี้  ทำให้ดิฉันได้ปรับเปลี่ยนทัศนคติหลายอย่าง  ได้พบเห็นสัจธรรมของเพื่อนมนุษย์มากขึ้น  โดยเฉพาะทัศนคติในการมอง  มองอย่างไรให้มองเป็น  อย่ามองคนอื่นแล้วจะให้คนอื่นเป็นอย่างเรา  และอย่าคิดว่าสิ่งที่เรามองเขาว่าเขามีความทุกข์  แต่เขาอาจจะมีความสุขก็ได้   ถ้าเราไปคิดแทนเขาเราจะเป็นผู้แบกความทุกข์นั้นไว้เสียเอง 

จงมองอินเดียในแบบอย่างที่เขาเป็น  ไม่ใช่มองแบบที่เราอยากจะให้เขาเป็น

 

                                                                   ปิยะกุล  อรรถวุฒิกุล

ข้าพเจ้านางสาวปิยะกุล  อรรถวุฒิกุล   ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านคอกช้าง  สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประจวบคีรีขันธ์  เขต ๑  ซึ่งเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ  โรงเรียนคุณธรรมชั้นนำ  และดิฉันเป็นหนึ่งในทีมวิทยากรเพื่อสร้าง  Coaching  Team  ครูโรงเรียนแกนนำวิถีพุทธได้รับหนังสือราชการจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต๑  เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๑ แจ้งว่าสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสงขลา เขต ๒ ซึ่งได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้จัดอบรมภายใต้โครงการสัมมนาครูโรงเรียนวิถีพุทธ  โดยจัดไปศึกษาดูงาน ณ สาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ระหว่าง วันที่ ๑๖-๒๖   เดือนธันวาคม  ๒๕๕๑  ในความรู้สึกเดิมๆ เคยคิดอยากที่จะไปประเทศอินเดียสักครั้ง ในฐานะที่เรานับถือศาสนาพุทธ  อยากไปเข้าใกล้สัมผัสกระแสของพระพุทธเจ้า    อยากเห็นดินแดนพุทธภูมิ   จาริกตามรอยสังเวชนียสถานที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จและประทับ อยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง ตามที่คนเคยไปมาแล้วเล่าให้ฟังว่าเกิดความรู้สึกแปลกๆ แต่มีความสุขมาก   และเมื่อไปอ่านพบนิยามอินเดียของกฤษณาวดีที่ว่า

                อินเดีย   คือ          แดนดินถิ่นพระเจ้า

                อินเดีย   มี             หลายเผ่าหลายศาสนา

                อินเดีย   มี             แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ชื่อคงคา

                อินเดีย   แดน       ภูผาหิมาลัย

                อินเดีย   แดน       ที่สุดของที่สุด

                อินเดีย   คือ          เมืองพุทธอันยิ่งใหญ่

                อินเดีย   มี             สาวสวยกว่าประเทศใด

                อินเดีย   แล้ง        น้ำใจจึงขอทาน

                อินเดีย   แดน       ที่สุดของปัญหา

                อินเดีย   เป็น        แหล่งศรัทธามหาศาล

                อินเดีย   เป็น        บ่อเกิดศรัทธาธาร

                อินเดีย   คือ          ตำนาน อู่อารยธรรม

และได้อ่านพบพระพุทธวาจาที่ว่า  “ ดูก่อนอานนท์.....ชนเหล่าใดเที่ยวจาริกไปยังเจดีย์  ๔  สถานเหล่านั้นแล้วมีจิตเลื่อมใส  ชนเหล่านั้นทั้งหมด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก  จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ”  (มหาปรินิพพานสูตร  ทีฆ.มหาวรรค.๑๐/๑๓๑/๑๓๕)   ก็ทำให้ดิฉันอยากไปยิ่งขึ้น ก่อนที่จะตัดสินใจต้องขอหาข้อมูลเป็นพื้นฐานอีกสักนิดหน่อย เพราะค่าใช้จ่ายก็ไม่ใช่น้อย เป็นเงิน ๓๘,๐๐๐  บาท  ดูตามโปรแกรมก็นึกว่าคงลำบากแน่ เพราะค้างคืนที่วัดแต่ละคืนไม่ซ้ำที่กันเลย  เราคงต้องขนของกันทุกวัน  หากเป็นวัดที่ต้องขึ้นบันไดสูงๆ คงลำบากมิใช่น้อยทีเดียว (นี่เป็นการวิเคราะห์เอาเองนะ)   แต่ก็มีค้างที่โรงแรมด้วย  ๓ คืน คราวนี้เจอใครก็ชวนคุยเรื่องอินเดีย   บางคนบอกว่าเป็นเมืองที่ไม่เห็นน่าจะไปเลย  สกปรก  มีแต่ขยะ  ขอทานเยอะแยะ  อุจจาระเรี่ยราด  มีห้องน้ำใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นประเทศสุดท้ายที่คิดจะไป  เนี่ยญาติฉันไปมาบอกว่าอย่าไปให้ได้เชียว  เสียเงินตั้งหลายหมื่นเพื่อจะไปดูขี้แขกเหรอ    แต่ถ้าเป็นฝ่ายทางท่านหลวงพ่อที่เคยไปมาแล้วก็จะบอกว่าดี ไปเถอะ น่าไป   ไปแล้วจะพบสัจธรรมแห่งชีวิตเกิดความสังเวช    อาตมายังอยากจะไปอีกเลย  ความลังเล  สับสนเกิดขึ้นในฉับพลัน แล้ววันหนึ่ง  คงเป็นบุญของเรากระมัง  ได้พบกับคุณอ้อ  ซึ่งเธอทำงานที่โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์        เธอได้ไปอินเดียมาหลายครั้งมากเราคุยกันได้ประมาณ ๕ นาที  แล้วดิฉันก็ตัดสินใจแน่วแน่เลยทีเดียวว่า ดิฉันจะไปอินเดียตามรายการนี้ให้ได้   โดยยึดหลักว่าเขาไปได้เราก็ต้องไปได้   เขาทำได้เราก็ต้องทำได้   เขาอยู่ได้เราก็ต้องอยู่ได้  ทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องธรรมดาและธรรมชาติ  หลังจากนั้นดิฉันก็ตั้งจิตอธิษฐานว่าขออย่าได้มีเหตุอันใดเลยที่จะทำให้ดิฉันไม่ได้ไปอินเดีย  ขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างปลอดโปร่งจนถึงวันที่เดินทาง   ใครจะออกความเห็นอย่างไรก็ไม่สนใจเพราะโอนเงินก้อนใหญ่ไปแล้ว     ต่อจากนี้ก็หาหนังสือและเปิด  internet ศึกษาข้อมูลต่างๆ  จัดเป็นรูปเล่มโดยให้ชื่อว่า “เตรียมตัวไปแสวงบุญที่อินเดีย”  เพื่อเวลาไปสถานที่จริงจะได้เข้าใจมากขึ้น    พร้อมกับนั่งนับวันรอเวลา  ซึ่งมันนานพอดู

 

 วันที่  ๑๖  ธันวาคม  ๒๕๕๑  เวลา  ๑๘.๐๐  น.  เดินทางออกจากบ้านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์  ตามลำพังโดยรถทัวร์โดยสาร  มุ่งสู่สนามบินสุวรรณภูมิ  ถึงเวลา  ๐๑.๒๐ น.  ของวันที่  ๑๗  ธันวาคม  ๒๕๕๑  คิดว่าดิฉันคงไปถึงเป็นคนแรกแน่ๆ  ก็คนมันมีวินัยข้อตรงต่อเวลานี่ ไปนอนรอที่ เก้าอี้พักผู้โดยสารชั้น ๔ ประตู ๑๐  ตามนัดหมาย  ซึ่งนัดกันเวลา ๐๕.๐๐ น.  อากาศในสนามบินสุวรรณภูมิเย็นมากๆ  นั่งมองอาคารสถานที่รอบๆ  พร้อมบ่นในใจว่าทำไมเขาไม่ประหยัดไฟกันบ้างเลยนะ  เปิดแอร์ให้มันน้อยๆ กว่านี้ก็ได้   แล้วนี่ไฟฟ้าในอาคารนี้เคยปิดกันบ้างไหมหนอ  เดือนหนึ่งๆ คงเสียค่าไฟกันมากทีเดียว    (วิญญาณครูออกเห็นอะไรไม่ได้ต้องบ่นไว้ก่อน)   เวลา ๐๕.๐๐  น.  ทุกคนทยอยกันมาจากทั่วประเทศ จังหวัดละคนสองคนแล้วแต่สมัครใจ ทั้งหมดแบ่งเป็น ๒ พวกคือ  ข้าราชการ  ๕๘  คน สมทบ  ๔๗  คน  รวม  ๑๐๕ คน (มากเกินไป)  ข้าราชการของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต ๑ นั้น ไปด้วยกัน  ๗  คน 

เช็คสัมภาระ  ตั๋วเครื่องบิน  เมื่อทุกคนและทุกอย่างเรียบร้อย  เราก็เข้าไปยังประตูขาออก  เครื่องออกเวลา  ๐๗.๕๐ น.  โดยสายการบิน Indian airlines เที่ยวบิน IC ๗๓๐ พวกเรานั่งรออยู่นานทีเดียว   เพราะทางสนามบินที่Gaya

(คายา)  อากาศไม่ดี  รอจนถึงเวลา  ๐๙.๐๐  น. ถึงได้ขึ้นเครื่องออกเดินทาง    เริ่มต้นก็ต้องใช้คุณธรรมระดับสูงเสียแล้วคือความอดทน  จากเมืองไทยไปอินเดียใช้เวลาเดินทางเกือบ  ๓  ชั่วโมง  วันนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร  คงเพราะอากาศไม่ดีจริงๆ นักบินไม่สามารถนำพวกเราลงสนามบินที่Gaya(คายา)ได้ เลยไปลงที่  สนามบิน Calcutta (กัลกัตตา) ก่อน  แล้วให้พวกเรานั่งรออยู่ในเครื่องเป็นเวลาเกือบชั่วโมง  

พระอาจารย์ ดร.สวัสดิ์  ปะติสุวรรณ  ซึ่งเป็นไกด์  ชวนให้พวกเราสวดมนต์  พวกเราก็สวดกันอย่างพร้อมเพรียง  จนฝรั่งที่นั่งอยู่ด้านหน้าชอบอกชอบใจ  เวลา  ๑๓.๓๐  น. ก็เดินทางต่อได้  เราไปถึงที่สนามบินGaya   (คายา) อย่างเรียบร้อย        รู้สึกตื่นเต้นมาก ไชโยที่ได้มาเหยียบแผ่นดินอินเดียแล้วและเข้าใกล้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทยอยรอให้เจ้าหน้าที่ตรวจเอกสารเข้าเมืองทีละคน    คิดดูทั้งสนามบินมีเจ้าหน้าที่ตรวจอยู่คนเดียว 

 

วิถีชีวิตคนอินเดีย

ประชากรอินเดียนับถือศาสนาฮินดู ร้อยละ ๘๒.๔๑ อิสลามร้อยละ ๑๑.๖๗
ที่เหลือนับถือศาสนาอื่น ทั้งนี้เป็นการนับถือศาสนาพุทธร้อยละ๐.๗๗  อินเดียเป็นดินแดนกำเนิดศาสนาพุทธแต่คนนับถือน้อย

วิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพล ความเชื่อความศรัทธาจากศาสนาฮินดูเป็นส่วนใหญ่ และประชากรที่มิได้นับถือศาสนาฮินดู ก็มีวิถีชีวิตภายใต้ศรัทธาของตนอย่างเคร่งครัด คนอินเดียค่อนข้างคบหาคนต่างชาติด้วยความระมัดระวังและมีความเป็นชาตินิยมสูง

คนอินเดียจึงเป็นคนที่มีความพยายามสูง มีความอดทน ฉลาดในการต่อรอง
ช่ำชองในธุรกิจการค้าขาย

 

 

                                         จบตอนที่ ๑

 

                

คำสำคัญ (Tags): #อินเดีย
หมายเลขบันทึก: 500986เขียนเมื่อ 2 กันยายน 2012 21:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 28 กันยายน 2012 20:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

  • หวัดดีท่าน ผอ. มาขอบคุณด้วย "มาลีพิไล" ของเด็ก ๆ จ้ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท