ประวัติความเป็นมา
ท่านนาคารชุน ถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์ที่เมืองวิทารภะ แคว้นโกศล เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๘ (คริสต์ศตวรรษที่สอง ประมาณ ๑๕๐ – ๒๕๐ ปีหลังคริสตกาล)
หลักฐานฝ่ายจีนกล่าวว่าท่านมีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกับ พระเจ้ากนิษกะ และ พระอัศวโฆษ โดยท่านมีอายุน้อยกว่าพระอัศวโฆษ พระอัศวโฆษเป็นพระสหายใกล้ชิดกับพระเจ้ากนิษกะ และพระวสุมิตร ซึ่งเป็นอาจารย์คนสำคัญของนิกายสรวาสติวาท
ในวัยเด็กนาคารชุนได้ศึกษาคัมภีร์พระเวทจนแม่นยำ อีกทั้งเชี่ยวชาญการใช้เวทมนตร์คาถา เลยนำคาถาที่ตนรู้ไปใช้ในทางที่ไม่ดี เหตุนี้จึงทำให้นาคารชุนเห็นโทษของตนจึงตัดสินใจออกบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาเป็นต้นมา
เมื่อออกบวชแล้วท่านได้ศึกษาพระไตรปิฏกและศาสตร์แขนงต่าง ๆ จนเชี่ยวชาญ โดยในเวลาเพียง ๙๐ วัน ก็สามารถแตกฉานได้ ปัญญาของท่านเลิศล้ำจนหาคนเปรียบไม่ได้ เป็นนักโต้วาทีที่หาตัวจับยากเพราะมีฝีปากคมคายมาก พราหมณ์ทั้งหลายจึงพากันกลัวเกรงวาทะของท่านมาก
คำว่า “นาคารชุน” มาจากคำว่า “นาคะ” ที่หมายถึงปัญญาญาณ บ่งถึงบุคคลที่สามารถทำลายกิเลสอาสวะลงได้ กับ “อรชุนะ” ที่หมายถึงชื่อต้นไม้ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่กำเนิดของท่าน ในแง่นี้นาคารชุนจึงอาจเป็นชื่อเดิมหรือฉายาที่บุคคลตั้งให้ในภายหลัง ตรงนี้เป็นสมมติฐานที่ยังไม่สามารถหาหลักฐานใด ๆ มายืนยันความชัดเจนได้
และที่มาของชื่อท่านอีกอันหนึ่งมาจากการที่มีพญานาคเชิญท่านไปเทศนาธรรมที่บาดาลนคร ที่นั่นท่านได้ค้นพบพระสูตรมหายานชิ้นสำคัญยิ่งคือ มหาปรัชญาปารมิตาสูตร ที่ถูกเก็บรักษาไว้ในที่ลับเพื่อรอคอยการเปิดเผยเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมเชื่อกันว่านาคารชุนนี้ได้ร่วมกับอัศวโฆษสร้างมหายานขึ้นมา นาคารชุนเป็นผู้รู้รอบในหลักพุทธปรัชญา ไสยศาสตร์ ดาราศาสตร์ แพทยศาสตร์ รวมทั้งพระเวททั้งหลายด้วย
งานประพันธ์
นาคารชุน ได้รจนานิพนธ์เป็นจำนวนมาก ที่เหลืออยู่ในขณะนี้ก็มักจะเป็นงานเขียนที่ถ่ายทอดไว้เป็นภาษาธิเบตและภาษาจีน ท่านได้รจนาหนังสือ มาธฺยมิกสูตร หรือ มาธฺยมิกการิก ( เกี่ยวกับหลักมหายาน พร้อมทั้งอรรถกถาชื่อว่า อกุโตภยา) วิคฺรหวฺยาวรฺตนี (เกี่ยวกับตรรกศาสตร์) ศุนฺยตาสปฺตติรตฺนาวลี เป็นต้น
แนวคิด
เพื่อแสดงให้เห็นถึงลักษณะอันแท้จริงแห่งสัจธรรมขั้นสูงสุด ที่พระพุทธเจ้าทรงมุ่งหมาย และผู้ปฏิบัติก็จะบรรลุสันติภาพถาวรขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นความหลุดพ้นจากทุกข์ หยุดการเกิดและการเวียนว่ายในวัฏสงสาร ทั้งนี้นาคารชุนยังแสดงให้เห็นว่า บรรดาสังขตธรรมทั้งหลายล้วนเป็นศูนยตา คือ ไม่จริงแท้ และอสังขตธรรมก็เป็นศูนยตา คือ ไม่อาจพรรณนาด้วยภาษามนุษย์ให้ถูกต้องครบถ้วนได้
ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงคัดค้านทฤษฎีทางปรัชญาของสำนักทั้งหลายว่าเป็นศูนยตาทั้งสิ้น หมายความว่า หาได้ถูกต้องครบถ้วนอย่างที่เจ้าของทฤษฎีเข้าใจไม่ วิธีการที่ท่านใช้เป็นเครื่องมือในการปฏิเสธทฤษฎีอื่น ๆ และในการอธิบายทฤษฎีของท่านนั้น เรียกว่า วิภาษวิธี
ความจริงของนาคารชุนนั้น คือสภาพที่สามารถรู้แจ้งได้โดยตรง มีลักษณะสงบและเป็นสุข อยู่เหนือความต่างทั้งหลาย ทนต่อการพิสูจน์ด้วยปัญญาขั้นเหตุผล เป็นภาวะสัมบูรณ์อย่างเอกไม่เป็นสอง โดยแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ ความจริงสมมุติ (ภาวะที่ปกปิดความจริงทำให้เห็นลักษณะไม่แท้เป็นลักษณะแท้)จะเป็นภาวะจริง ย่อมไม่เห็นว่าเป็นภาวะหลอกลวง เพราะเขาใช้ปัญญาทางเหตุผลอันสามัญพิจารณา เหมือนคนกำลังฝันย่อมเห็นว่า เรื่องราวในฝันเป็นความจริงทุกอย่าง เพราะเขาใช้ความรู้สึกนึกคิดในขณะนั้นมาพิจารณาตัดสิน แต่พอตื่นขึ้น เขาใช้ปัญญาอีกขั้นหนึ่งพิจารณาจึงรู้ว่าเรื่องในฝันไม่จริง ข้อนี้ฉันใด เรื่องราวในชีวิตของปุถุชนเราก็ฉันนั้น จะตัดสินด้วยปัญญาชั้นสูง จึงจะรู้ว่าเป็นเรื่องมายาทั้งนั้น
นาคารชุนถือหลักปฏิจจสุปบาทที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลางเป็นหลักในการดำเนิน จึงได้ชื่อว่า มาธฺยมิกะ และเพราะเหตุที่กล่าวถึงศูนยตาเป็นเรื่องสำคัญ จึงชื่อว่า ศูนยวาท
สารัตถะสำคัญของสิ่งทั้งหลาย คือ ศูนยตา มีความหมาย ๒ ประการ คือ วัตถุที่เราประสบในบัดนี้เป็นศูนยตาในอดีตและเป็นศูนยตาในอนาคต สิ่งทั้งหลายมีลักษณะเป็นศูนยตา อวิทยานั่นเองทำให้เราเห็นสิ่งที่เป็นศูนยตาเหมือนสิ่งที่มีอยู่จริงเหมือนสิ่งที่เที่ยงแท้ถาวร การรู้แจ้งสิ่งทั้งหลายเป็นศูนยตานั้น เรียกว่า มหาวิทยา (ความรู้ขั้นประจักษ์ชนิดพิเศษ ที่สามารถเข้าถึงสัจธรรมขั้นสูงสุด คือศูนยตาได้) ซึ่งตรงข้ามกับอวิทยา
และศูนยตาก็ไม่ได้หมายถึงว่าไม่มีอะไร แต่ความจริงศูนยตานั้นปฏิเสธทฤษฎีทั้งหมด และ ศูนยตาเองก็ไม่เป็นทฤษฎีหนึ่งต่างหาก ท่านก็กล่าวตามแบบวิภาษวิธีของท่านว่า “ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอศูนยตา มันก็เป็นอิสระแก่กันและกัน เมื่อเป็นอิสระแก่กันและกัน ก็ต้องเป็นภาวะสัมบูรณ์ เมื่อเป็นภาวะสัมบูรณ์ ก็ต้องไม่มีการทำลาย เมื่อไม่ทำลาย ก็ย่อมไม่มีสงสาร ไม่มีนิพพาน ไม่มีอริยสัจ ไม่มีสงฆ์ ไม่มีศาสนา ไม่มีพระพุทธเจ้า ถ้าทุกอย่างเป็นจริง จะเป็นสิ่งถาวรคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง และถ้าเป็นเช่นนี้โลกคงไม่มี”
ขอบคุณดอกไม้ครับอาจารย์