ทักษะการให้การปรึกษา
ทักษะการปรึกษาสามารถจำแนกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเบื้องต้นและกลุ่มเบื้องลึก
กลุ่มเบื้องต้น มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้รับการปรึกษาทักษะย่อยที่ใช้ ได้แก่ การฟัง การตั้งคำถามเปิด-ปิด การทบทวนคำพูด การสะท้อนความรู้ การทำให้กระจ่าง และการสรุป
กลุ่มเบื้องลึก มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมกระบวนการให้การปรึกษาบรรลุเป้าประสงค์ ซึ่งประกอบด้วยการทำให้ผู้รับการปรึกษามีความเข้าใจปัญหาและตนเองมากขึ้น ทักษะที่ใช้คือการท้าทายและการแปลความ รายละเอียดของทักษะดังกล่าวมีดังนี้ (Kotler & Brew, 2003 ; Nystul, 2003 อ้างใน ดวงมณี จงรักษ์, 2549)
1) ทักษะการฟัง
ทักษะการฟังมีบทบาทที่สำคัญในทุกขั้นตอนของการให้การปรึกษา การฟังเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผู้รับการปรึกษาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น รู้สึกว่าถูกเข้าใจโดยผู้ฟัง การฟังเป็นกระบวนการซับซ้อนที่ประกอบด้วยทักษะย่อย ๆ ได้แก่ การเอาใจใส่ต่อภาษาพูดและอวัจนภาษา การส่งเสริมให้ผู้พูดรู้สึกมีความอิสระที่จะเปิดเผย การพัฒนาความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้พูด และการตอบสนองด้วยท่าทีที่เหมาะสม
การเอาใจใส่ต่อภาษาพูดและอวัจนภาษา
หมายถึง ผู้ให้การปรึกษาต้องฟังสิ่งที่ผู้รับการปรึกษาสื่อด้วยวาจาและสื่อด้วยภาษากาย การฟังภาษาพูดหรือเรื่องที่เล่า ต้องฟังให้ได้ครบทั้ง 3 มิติของพฤติกรรม ความคิด และความรู้สึก กล่าวคือ ฟังเมื่อให้เกิดความเข้าใจว่าผู้รับการปรึกษามีพฤติกรรมอะไร อย่างไร เขามีความคิดหรือทัศนคติต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร และมีความรู้สึกเช่นไรต่อสิ่งที่เกิดขึ้น การฟังให้ได้ครบทั้ง 3 มิตินั้นต้องครอบคลุมทั้งตัวผู้รับการปรึกษาและสิ่งที่เขาสัมพันธ์ด้วย
สำหรับภาษากายหรืออวัจนภาษา ผู้ให้การปรึกษาต้องสังเกตภาษากายที่สื่อออกมา ซึ่งได้แก่
1) การแสดงออกบนใบหน้า (Facial Expression) หรือสิ่งที่สังเกตเห็นบนใบหน้าของผู้รับการปรึกษา ว่าแสดงสีหน้ายิ้ม คิ้วขมวด ริมฝีปากสั่น แววตาเศร้าหมอง ขุ่นมัว หวาดระแวง ซึ่งกิริยาเหล่านี้สะท้อนอารมณ์ภายใน
2) อากัปกิริยา (Gestures) ได้แก่ การเคลื่อนไหวของมือขณะเล่าเรื่อง มือและอวัยวะส่วนอื่น ๆ ของร่างกายมีความสอดคล้องกับเนื้อหาที่เล่าหรือขัดแย้ง
3) การเคลื่อนไหวของร่างกาย (Body Movement) ได้แก่ ท่าทางต่าง ๆ ขณะที่นั่ง เช่น มือและเท้ากระดิก ขยับไม่อยู่นิ่ง
4) การวางตัว (Posture) หมายถึง การมีท่าทีที่ผ่อนคลาย เกร็ง หรือห่อเหี่ยว
5) ทิศทางของการสบตา (Visual Orientation) ได้แก่ การสบสายตาและการเคลื่อนไหวของลูกนัยน์ตาขณะเล่าเรื่อง
6) ระยะห่างของพฤติกรรม (Spatial Behavior) ผู้รับการปรึกษามีการวางตนอย่างไรในการนั่งและยืนห่างจากผู้ให้การปรึกษา
7) ลักษณะที่ปรากฏ (Appearance) หมายถึง เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ความสะอาด
8) การออกเสียงที่ไม่เป็นภาษาพูด (Nonverbal Vocalizations) ได้แก่ การถอนหายใจ การอุทาน การรับคำ
2) ทักษะการตั้งคำถาม
สิ่งที่พบอยู่เสมอคือผู้ให้การปรึกษามือใหม่มักจะถามมากเกินไป สิ่งที่ใช้เป็นเกณฑ์เพื่อพิจารณาว่าเมื่อใดควรตั้งคำถามมีดังนี้
1) เมื่อเริ่มต้นการปรึกษา : “ดิฉันจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง” “คุณอยากจะพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไร” “วันนี้เราจะเริ่มต้นกันเรื่องอะไรดี” “มีอะไรที่ไม่สบายใจ”
2) เมื่อต้องการความกระจ่าง : “คุณหมายความว่าอะไร” “ช่วยยกตัวอย่างเพิ่มเติมหน่อย”
3) เมื่อต้องการดึงให้เข้าสู่ประเด็น : “ก่อนหน้านั้นคุณได้พูดถึงความสบายใจที่เกิดขึ้นกับคุณแม่ ช่วยเล่ารายละเอียดเพิ่มเติม สำหรับเรื่องอื่นขอเว้นไปก่อน”
4) เมื่อต้องการทราบว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร : “หลังจากที่พูดคุยกัน และคุณบอกว่าเข้าใจตนเองเพิ่มขึ้น มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างในที่ทำงาน”
5) เมื่อต้องการข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง : “คุณเคยแก้ไขปัญหานี้ด้วยวิธีการอย่างไร”
6) เมื่อต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลง : “คุณคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์กับทัศนคติของคุณอย่างไร”
7) เมื่อต้องการเน้นให้ความสำคัญกับความคิด : “คุณคิดอะไรและนึกอะไรอยู่ในใจ ก่อนที่ตัดสินใจเช่นนั้น”
8) เมื่อต้องการทำให้เกิดการกระจ่างชัดในเป้าหมาย : “จากสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้คุณไม่สบายใจ เรื่องอะไรที่คุณให้ความสำคัญมากที่สุด”
9) เมื่อต้องการให้ลงมือแสดงพฤติกรรม : “คุณมีการเตรียมตัวอย่างไรเพื่อให้เป้าหมายที่ตั้งไว้บรรลุเป้าประสงค์”
การตั้งคำถามตามเกณฑ์เหล่านี้ นอกจากจะเพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้รับการปรึกษาแล้ว ยังช่วยส่งเสริมการสำรวจและเข้าใจตนเอง รวมทั้งการกำหนดเป้าหมาย สำหรับข้อที่พึงระมัดระวังในการตั้งคำถามเปิด คือ หลีกเลี่ยงการถามว่า “ทำไม” เนื่องจากคำถามเช่นนี้จะทำให้ผู้ตอบหาเหตุผลมาสนับสนุนตนเอง แทนที่จะสำรวจการกระทำของตน
คำถามเปิดและคำถามปิด
สำหรับประเภทของคำถามอาจแบ่งได้เป็นคำถามเปิดและคำถามปิด คำถามปิดหมายถึง คำถามที่ผู้ตอบไม่ต้องบรรยายรายละเอียด เช่น คำถามที่มักลงท้ายด้วยการให้ตอบว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” คำถามปิดมีแนวโน้มทำให้การสื่อสารหยุดชะงัก และสร้างกรอบให้ผู้รับการปรึกษากลายเป็นผู้ตอบสนองที่เฉื่อยชา (A passive respondent)
ตัวอย่างการสนทนาระหว่างผู้ปกครองกับบุตรที่เพิ่งกลับจากโรงเรียนด้วยคำถามปิด
ผู้ปกครอง : วันนี้ที่โรงเรียนเหตุการณ์เป็นไปด้วยดีใช่ไหมลูก
เด็ก : ครับ
ผู้ปกครอง : ครูพาไปนอกสถานที่ใช่ไหม
เด็ก : ใช่ครับ
ผู้ปกครอง : แล้วลูกได้นั่งใกล้กับใหญ่บนรถตามที่ลูกต้องการหรือเปล่า
เด็ก : ได้ครับ
ผู้ปกครอง : แล้วลูกกล้าที่จะชวนเขามาเที่ยวบ้านเราไหม
เด็ก : ไม่แน่ใจครับ
ผู้ปกครอง : ลูกยังไม่แน่ใจในตัวเองที่จะมีความกล้าพอ?
เด็ก : คงงั้นครับ
ผู้ปกครอง : หิวข้าวหรือยัง แม่มีขนมอยู่ในตู้เย็น
สำหรับคำถามเปิด มักเป็นคำถามที่ไม่สามารถตอบด้วยคำคำเดียว และส่งเสริมให้คู่สนทนามีโอกาสพัฒนาการสื่อสาร ตัวอย่างต่อไปนี้เปรียบเทียบระหว่างคำถามเปิดและปิด
คำถามปิด - วันนี้เหตุการณ์ที่โรงเรียนเป็นไปด้วยดีใช่ไหมลูก - ครูพาไปนอกสถานที่ใช่ไหม - ลูกได้นั่งกับใหญ่บนรถตามที่ลูกต้องการหรือเปล่า - ลูกกล้าที่จะชวนเขามาเที่ยวบ้านเราไหม
- ลูกยังไม่แน่ใจในตัวเองว่ามีความกล้าพอใช่ไหม - หิวแล้วหรือยัง |
คำถามเปิด - เหตุการณ์ที่โรงเรียนวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง - ลูกทำอะไรบ้างที่คิดว่าน่าสนใจที่สุด - ลูกทำอะไรบ้างบนรถ - แม่จำได้ว่าลูกอยากเป็นเพื่อนกับใหญ่ เรื่องนี้คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว - ลูกรู้สึกอย่างไรบ้าง - ตอนนี้ลูกอยากทำอะไรบ้าง |
อย่างไรก็ตาม การใช้คำถามปิดมีความเหมาะสมเมื่อผู้ถามต้องการข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง เช่น เมื่อผู้สื่อข้อความแสดงความไม่ชัดเจนในสิ่งที่เล่า ดังนั้น เพื่อยืนยันความเข้าใจของผู้ให้การปรึกษา อาจใช้คำถามปิดเพื่อสอบถาม ตัวอย่างเช่น “จากที่เล่ามาแสดงว่า คุณหลับยากหรือคุณนอนไม่ค่อยหลับ” นอกจากนี้คำถามปิดมีความเหมาะสมเมื่อผู้ถามต้องการข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงในยามวิกฤต ตัวอย่างเช่น “ก่อนหน้านี้เคยพยายามฆ่าตัวตายไหม” ในครอบครัวพี่ชายเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายใช่ไหม” เป็นต้น
3) ทักษะการสะท้อน
ทักษะการสะท้อนแบ่งเป็น 2 ทักษะย่อย คือ การสะท้อนข้อความ (Reflecting Content) และการสะท้อนความรู้สึก (Reflecting Feeling)
3.1) การสะท้อนข้อความ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นการเรียบเรียงถ้อยคำใหม่ (Paraphrasing) มีประโยชน์เมื่อผู้รับการปรึกษาได้เล่าเรื่องราวมาในระยะเวลาที่พอสมควร ผู้ให้การปรึกษาตอบสนองด้วยการเรียบเรียงถ้อยคำเพื่อแสดงว่ามีความเข้าใจในสิ่งที่เล่า การเรียบเรียงควรใช้คำพูดที่แสดงความใกล้เคียงกับสิ่งที่ผู้รับการปรึกษาเล่ามา และเปิดโอกาสให้ผู้รับการปรึกษาปฏิเสธเพื่อแก้ไขความเข้าใจได้ การเรียบเรียงที่ดีคือทำให้สั้น กระชับ โดยใช้คำหลักที่ผู้รับการปรึกษาได้พูดมา และหาคำอื่นที่มีความหมายตรงกัน ตัวอย่างเช่น
ถ้อยคำเดิม - ผมสนุกเวลาที่ได้วิ่งกับสุนัขหลังเลิกงาน - ผมชอบที่จะวิ่งหลังจากวันที่เครียด เพราะว่าช่วยให้ผมคลายเครียดได้ |
ถ้อยคำใหม่ - คุณชอบที่จะวิ่งกับสุนัข - การวิ่งเป็นการลดความเครียดที่ดีสำหรับคุณ |
3.2) การสะท้อนความรู้สึก หมายถึง การสะท้อนให้ทราบว่าผู้ให้การปรึกษามีความเข้าใจต่อความรู้สึกของผู้รับการปรึกษาอย่างไร การสะท้อนความรู้สึกยังแสดงออกซึ่งความเข้าใจในตัวผู้รับการปรึกษาอย่างลึกซึ้ง ขั้นตอนการสะท้อนความรู้สึกมีดังนี้
ตัวอย่างการสะท้อนความรู้สึก
ผู้รับฯ : เมื่อคืนนี้ผมนอนไม่หลับ คิดแต่เรื่องการขอเลื่อนตำแหน่ง
ผู้ให้ฯ : คุณรูสึกกระสับกระส่ายตอนนอนเพราะวิตกกังวลเรื่องการขอเลื่อนตำแหน่ง
ผู้รับฯ : ผมได้พยายามจะพูดเรื่องนี้กับเพื่อน แต่พวกเขาก็มีท่าทีเหมือนไม่อยากเข้าไปพัวพันด้วย
ผู้ให้ฯ : คุณรู้สึกโดดเดี่ยว (หรือเสียใจ ผิดหวัง คับข้องใจ) เพราะคุณไม่สามารถพึ่งใครได้ (หรือ เพราะพวกเพื่อนไม่ได้แสดงความเห็นอกเห็นใจ)
ผู้รับฯ : ผมรู้ว่าอะไรที่รบกวนจิตใจ แต่ผมไม่รู้ว่าต้องการจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่า
ผู้ให้ฯ : คุณรู้สึกสับสน (หรือไม่แน่ใจ อึดอัด ลังเล) เพราะคุณยังไม่มีความพร้อมที่จะเปิดเผย (หรือ เพราะคุณไม่แน่ใจว่าผมจะคิดกับคุณอย่างไร)
4) ทักษะการสรุป
การสรุปเป็นการรวบรวมประเด็นสำคัญของเรื่องราวที่ผู้รับการปรึกษาได้กล่าวถึง และดำเนินการสอดแทรกระหว่างการปรึกษาในโอกาสต่อไปนี้
- เมื่อถึงเวลาสิ้นสุดการปรึกษาในแต่ละครั้ง
- เมื่อผู้ให้การปรึกษาต้องการเปลี่ยนประเด็นไปสู่เรื่องอื่น
- เมื่อผู้รับการปรึกษาแสดงสีหน้าสับสนและรู้สึกท่วมท้นกับสิ่งที่เกิดขึ้น
- เมื่อผู้ให้การปรึกษาต้องการช่วงเวลาเพื่อรวบรวมสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
- เมื่อถึงเวลาที่จะบอกให้ทราบถึงสิ่งที่ได้ดำเนินการมาแล้ว
ปกติการสรุปนี้ดูเสมือนจะเป็นหน้าที่ของผู้ให้การปรึกษา แต่กลยุทธ์ที่เหมาะสมกว่าคือการขอให้ผู้รับการปรึกษาเป็นผู้สรุป ตัวอย่างเช่น
ผู้รับฯ : ผมได้เล่าให้อาจารย์ฟังว่าเหตุการณ์เริ่มจะควบคุมไม่ได้อย่างไร อ้อนึกขึ้นมาได้ ผมบังเอิญได้เจอเพื่อนคนที่เคยเล่าให้ฟัง คนที่นำเรื่องยุ่ง ๆ มาให้ผม
ผู้ให้ฯ : เดี๋ยวก่อนนะคะ ก่อนที่เราจะคุยกันในประเด็นเรื่องเพื่อน ดิฉันกำลังคิดว่าเราน่าจะมาสรุปถึงสิ่งที่ได้พูดคุยกันก่อนหน้านั้น
ผู้รับฯ : ก็ดีครับ
ผู้ให้ฯ : ไหนลองสรุปเรื่องราวที่เราได้พูดคุยกันหน่อยค่ะ
ผู้รับฯ : ผมมีปัญหาเรื่องการเรียน เพราะผมชอบรอจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้ายจึงจะทำงานหรืออ่านหนังสือ อาจารย์บอกว่าให้ผมสำรวจการชอบทำอะไรต่าง ๆ ในวินาทีสุดท้าย
ผู้ให้ฯ : แล้วมีอะไรอีก
ผู้รับฯ : อืม...พี่ชายผมก็เป็นแบบผม
ผู้ให้ฯ : นั่นก็ใช่ สรุปคือเรื่องการผัดวันประกันพรุ่งเป็นวิธีหนึ่งของการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ
ผู้รับฯ : ครับ
ผู้ให้ฯ : เอาล่ะ เรามาคุยกันต่อเรื่องเพื่อนคนนั้น
จากตัวอย่าง ผู้รับการปรึกษายังไม่ค่อยมีความชัดเจนในเรื่องที่เกิดขึ้น การสรุปประเด็นจึงยังไม่ครบถ้วน และผู้ให้การปรึกษาได้ช่วยสรุปใหม่เพื่อเพิ่มสิ่งที่ผู้รับการปรึกษากล่าวตกหล่นไป
5) ทักษะการท้าทาย (Confrontation)
การท้าทายมักสื่อความหมายทางลบที่ให้ความรู้สึกไม่ดี ในบริบทของการให้การปรึกษา การใช้ทักษะนี้ได้ดีที่สุดคือการท้าทายอย่างอ่อนโยนและแฝงเร้น ซึ่งผู้รับการปรึกษาจะไม่รู้ว่าตนเองถูกท้าทาย ทั้งนี้เพื่อเพิ่มการตระหนักรู้และการเข้าใจตนเองมากขึ้นของผู้รับการปรึกษา
บางครั้งทักษะนี้ถูกเรียกว่า การสะท้อนความไม่สอดคล้องกันของผู้รับการปรึกษา ซึ่งผู้ให้การปรึกษาสังเกตเห็นได้ ดังนั้น ผู้ให้การปรึกษาจึงทำหน้าที่ชี้ให้ผู้รับการปรึกษาได้รับรู้ถึงการบิดเบือนของตนอย่างสุภาพ ถ้อยทีถ้อยอาศัย ในการสะท้อนความไม่สอดคล้องนั้น ผู้ให้การปรึกษาไม่ควรจะกระทำกับตัวบุคคล แต่ท้าทายพฤติกรรมของบุคคลแทน นั่นคือ ระบุพฤติกรรมที่สังเกตเห็นและชี้ถึงความไม่สอดคล้องของสิ่งต่อไปนี้
1) ระหว่างสิ่งที่พูดในขณะนี้กับสิ่งที่พูดก่อนหน้านั้น เช่น “ก่อนหน้านั้นคุณเคยบอกว่า สัมพันธภาพดำเนินไปดีทีเดียว แต่เดี๋ยวนี้คุณกำลังบอกว่ามีปัญหาแล้ว”
2) ระหว่างสิ่งที่กำลังพูดกับสิ่งที่แสดงออก เช่น “คุณบอกว่าไม่รู้สึกตื่นเต้นที่จะพบกับเขา แต่ดิฉันสังเกตว่าเมื่อพูดถึงเขา น้ำเสียงของคุณเปลี่ยนไปและเริ่มพูดเร็วมาก”
3) ระหว่างสิ่งที่บอกว่าต้องการหรือปรารถนากับสิ่งที่กำลังกระทำ เช่น “ดิฉันค่อนข้างสับสน เพราะคุณบอกว่าต้องการให้เกรดเพิ่มขึ้นและเป็นสิ่งที่ให้ความสำคัญมากที่สุด แต่คุณก็สารภาพว่าสัปดาห์นี้อ่านหนังสือเพียงชั่วโมงเดียว”
6) ทักษะการแปลความ (Interpretation)
ทักษะนี้จะถูกนำมาใช้หลังจากที่ผู้ให้การปรึกษาได้ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้รับการปรึกษา การแปลความเป็นการเสนอข้อสังเกตต่อผู้รับการปรึกษา ด้วยจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการเข้าใจตนเองระดับลึก โดยเฉพาะความหมายของการแสดงออกซึ่งปัญหา
การแปลความกระทำได้หลายระดับ ดังนี้
1) ระดับเปิดเผยแรงจูงใจใต้สำนึกและความปรารถนา เช่น “บางทีที่คุณลังเลที่จะบอกว่าคุณแคร์เธอมาก เพราะคุณกลัวว่าเธอจะไม่ปฏิเสธ และในส่วนลึกของจิตใจ คุณไม่รู้สึกว่าคุณสมควรจะได้รับความรัก”
2) ระดับเชื่อมโยงพฤติกรรมปัจจุบันกับพฤติกรรมในอดีต เช่น “คุณต้องดิ้นรนอย่างมากเพื่อทำให้ตนเองเป็นคนที่มีความสามารถและมีความรอบรู้ สิ่งนี้ทำให้ดิฉันหวนนึกถึงสิ่งที่คุณจำในสมัยเด็กว่าคุณรู้สึกแย่ที่เล่นกีฬาได้ไม่ดีสักอย่าง”
3) ระดับการเน้นเนื้อเรื่องหลักและสัญลักษณ์ที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรม เช่น “บางทีที่คุณชอบทะเลาะกัน เรื่องใครเป็นคนซื้ออาหารเข้าบ้านในแต่ละวัน เป็นสัญลักษณ์เชิงการดิ้นรนเพื่อเป็นผู้ควบคุมสัมพันธภาพ คุณเองก็เพิ่งเล่าว่ายังทะเลาะกันเรื่องอื่น ๆ อีก เช่น ใครจะเป็นคนขับรถ เวลาที่ไปด้วยกัน 2 คน”
แม้ว่าภาระการแปลความจะเป็นหน้าที่ของผู้ให้การปรึกษา แต่ผู้ให้การปรึกษาหลายคนนิยมขอความร่วมมือให้ผู้รับการปรึกษาช่วยแปลความ ตัวอย่างเช่น
“คุณคิดว่ามันหมายความว่าอย่างไร ที่คุณลังเลใจที่จะบอกเธอว่าคุณรู้สึกอย่างไร”
“ดิฉันกำลังคิดว่าสิ่งที่คุณดิ้นรนอยู่ในขณะนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากรูปแบบการใช้ชีวิตที่มีมายาวนาน การดิ้นรนเช่นนี้ทำให้คุณนึกถึงอะไรในวัยเด็ก?”
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะคุ้น ๆ กับเหตุการณ์เรื่องอื่น ๆ คุณคิดว่ามีประเด็นอะไรที่เป็นปัจจัย”
7) ทักษะการให้ข้อมูล
ในหลายโอกาสที่ปัญหาเกิดขึ้นเพราะผู้รับการปรึกษาไม่มีความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ดังนั้น ผู้ให้การปรึกษาต้องแสดงบทบาทเสมือนเป็นผู้ให้ข้อมูลในเรื่องที่เกี่ยวข้อง ซึ่งครอบคลุมกว้างในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่
1) อธิบายให้ทราบว่าปฏิกิริยาทางอารมณ์เป็นผลจากรูปแบบของการคิดอย่างไร
2) อธิบายให้ทราบถึงผลในระยะสั้นและระยะยาวของการใช้สารเสพติดบางอย่าง
3) ให้ข้อมูลพื้นฐานเรื่องการสัมภาษณ์งาน
4) ชี้แจงให้ทราบว่าความเครียดเป็นผลจากการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมาะสมอย่างไร
5) ให้ตัวอย่างการตัดสินใจอย่างเป็นระบบ
6) แนะนำการวางแผนอย่างเป็นระบบในการลดน้ำหนัก
7) อธิบายให้ทราบว่าสมาชิกในครอบครัวอาจจะได้รับผลกระทบจากปัญหาในครอบครัวได้อย่างไร
8) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวแปรที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์
9) ให้ข้อมูลการตั้งครรภ์โดยไม่พึงปรารถนา
10)อธิบายให้ทราบว่าการรับรู้ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรม ครอบครัว และเพศอย่างไร
11)บอกให้ทราบถึงแหล่งข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิต
12)แนะนำหนังสือหรือเทปที่จะช่วยในการจัดการกับปัญหา
ข้อควรคำนึงในการใช้ทักษะนี้คือ จะต้องกระทำเสมือนไม่ใช่เป็นการสั่งสอน ข้อมูลบางเรื่อง ถ้าผู้รับการปรึกษาสามารถค้นหาได้เอง ผู้ให้การปรึกษาควรทำหน้าที่เพียงแจ้งแหล่งข้อมูล แทนที่จะนำเสนอแก่ผู้รับการปรึกษาโดยตรง ทั้งนี้เพื่อเป็นการฝึกให้ผู้รับการปรึกษาเรียนรู้ที่จะค้นหาข้อมูลอื่น ๆ ในอนาคต
บรรณานุกรม
ดวงมณี จงรักษ์, 2549. ทฤษฎีการให้การปรึกษาและจิตบำบัดเบื้องต้น. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ ส.ส.ท.
นิรันดร์ จุลทรัพย์. 2539. เอกสารคำสอนวิชาการแนะแนวเบื้องต้น. โครงการบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภาคใต้.
วัชรี ทรัพย์มี. 2531. การแนะแนวในโรงเรียน. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วัชรี ทรัพย์มี. 2549. ทฤษฎีให้บริการปรึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ขอบคุณมากค่ะ มีประโยชน์สำหรับการทำหน้าที่ครูที่ปรึกษาของตนเองค่ะ