“วิภาษวิธี” หมายถึง การดำเนินการอภิปรายหรือโต้วาทีเป็นกระบวนการทางความคิดที่นำไปสู่การตระหนักรู้อย่างแจ่มแจ้งถึงข้อจำกัดของเหตุผล โดยทั่วไปการเคลื่อนไหวทางความคิดในลักษณะนี้มักจะดำเนินไปใน ๒ รูปแบบ คือ
๑) เพื่อปฏิเสธหรือวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดอื่นเป็นหลัก โดยเป็นวิธีการเชิงปฏิเสธและหักล้าง
๒) เพื่อแสดงจุดยืนทางความคิดของผู้นำเสนอ โดยพยายามหาบทสรุปหรือเป้าหมายที่เป็น สัจธรรม
วิภาษวิธีนั้น ท่านนาคารชุนได้คิดขึ้นมาเพื่อใช้แก้ความเห็นของบุคคลที่ตั้งคำถามในเรื่องที่ตอบไม่ได้ และปัญหาที่นักคิดตั้งแต่สมัยพุทธกาลนิยมถามในเรื่องที่ตอบไม่ได้ เพื่อมุ่งสู่ความจริง ไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้เหตุผล โดยได้จัดระบบการตรวจสอบเหตุผลออกมาเป็นชุด ซึ่งในชุดนั้นประกอบไปด้วยรูปแบบทั้ง ๔ อย่าง ที่เรียกว่า จตุษโกฏิ (แปลง่าย ๆ ว่า ๔ มุม)
โครงสร้างของวิภาษวิธีที่จัดชุดของความเชื่อออกเป็นขั้วความคิดต่าง ๆ จะเป็นไปดังนี้
ยืนยัน (โกฎิที่ ๑)
มีลักษณะการยืนยันความมีอยู่ของตัวเอง พวกเขาเห็นว่ามีบางสิ่งที่เที่ยงแท้ดำรงอยู่อย่างนั้นเรื่อยไปตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยมีกำลังอนุภาพต่อกันเป็นสายเพื่อสืบภาวะเดิมไว้ตลอด พวกที่มีทัศนะในเชิงนี้ กับอดีต โดยความจริงในปัจจุบันนั้นได้แยกขาดจากความจริงในอดีต เป็นการปฏเสธทัศนะเช่น สารวาสติวาทะ สางขยะ และสำนักฮินดูทั่วไปที่ยอมรับเรื่องอาตมัน
ปฏิเสธ (โกฎิที่ ๒)
มีลักษณะปฏิเสธความมีอยู่ของสิ่งต่าง ๆ หรือภาวะในปัจจุบันว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันกับอดีต โดยความจริงในปัจจุบันนั้นได้แยกขาดจากความจริงในอดีต เป็นการปฏิเสธทัศนะบางอย่าง แต่ความจริงก็ยอมรับทัศนะในอีกด้านหนึ่ง พวกที่มีทัศนะในเชิงนี้กับอดีต โดยความจริงในปัจจุบันนั้นได้แยกขาดจากความจริงในอดีต เป็นการปฏเสธทัศนะเช่น เสาตรานติกะ
ยืนยันและปฏิเสธ (โกฎิที่ ๓)
มีลักษณะที่อาศัยการรวมทฤษฎีทั้งหลายเข้าด้วยกัน หลัก ๆ คือ พวกเชน
ไม่ทั้งยืนยันและปฏิเสธ (โกฎิที่ ๔)
มีลักษณะที่ไม่ยอมรับหลักการความเป็นเหตุและผลอย่างสิ้นเชิง ได้แก่ พวกวัตถุนิยม (จารวาก) และคำสอน ของเจ้าสำนักที่มีชื่อเสียงบางท่านในสมัยพุทธกาล
การใช้วิภาษวิธีของนาคารชุน
นาคารชุนใช้วิภาษวิธีในฐานะที่เป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่ปัญญาญาณ แต่ที่สุดแห่งปัญญาจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อละวางความเป็นเหตุเป็นผลทั้งหมดลงอย่างสิ้นเชิง การละวางเหตุผลไม่ใช่การทิ้งเหตุผล แต่คือการหยั่งรู้ว่าเหตุผลเป็นเพียง วิถีไม่ใช่เป้าหมาย การละวางเหตุผลก็คือการถอนอุปาทานที่เกิดจากความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งในทุกแง่มุม
จุดประสงค์อีกอย่างหนึ่ง ก็เพื่อให้เห็นข้อจำกัดของทฤษฎีทางปรัชญาอันเป็นที่ยอมรับกว้างขวางในเวลานั้น หลัก ๆ ก็ได้แก่คำสอนของสำนักสรวาสติวาทะ เสาตรานติกะ มหาสังฆิกะ รวมทั้งแนวคิดของปราชญ์ฝ่ายฮินดู เช่น สางขยะ เป็นต้น
วิภาษวิธีสามารถถูกมองทั้งในขอบเขตของทฤษฎีความรู้และอภิปรัชญา ในแง่ของทฤษฎีความรู้ วิภาษวิธีเป็นวิธีการที่ใช้ในการถกเถียงท่านนาคารชุนใช้ในเชิงศาสนา คือมุ่งถอดถอนทิฐุปาทานในจิตของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยพยายามตะล่อมถามให้คู่สนทนานิยามหรือแสดงข้อคิดเห็นของเขาออกมาให้ชัดเจน จากนั้นก็ทำให้เห็นว่ จะต้องมีข้อสรุปบางอย่างเกิดขึ้นจากการแสดงความคิดเห็นดังกล่าว ต่อมาก็ชี้ให้เห็นว่าข้อสรุปที่เกิดขึ้นจากการนั้นขัดแย้งกับ้อเท็จจริง สามัญสำนึก หรือข้อความที่ยอมรับกันอยู่ก่อน เป้าหมายก็เพื่อทำให้ข้อคิดเห็นของคู่สนทนาไร้น้ำหนัก ขาดความน่าเชื่อถือ
ท่านนาคารชุนใช้วิภาษวิธีเพื่อสนับสนุนทัศนะบางอย่าง อีกทั้งท่านก็ไม่ได้ใช้วิภาษวิธีในฐานะเป็นทฤษฎีหรือความเชื่ออะไร เนื่องจากว่าวิภาษวิธีในทางพระพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องของเนื้อหาความคิด หากแต่เป็นกระบวนการทางจิตวิญญาณ เพื่อตระหนักรู้ตัวเอง อาจกล่าวว่าเป็นวิพากษ์เหตุผลซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ในทางปรัชญา ปรัชญาเป็นเรื่องของความคิดความเชื่อที่ไปไกลกว่าประสบการณ์สามัญ เหตุผลเป็นสิ่งที่สาวไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด แต่เมื่อยิ่งคิดก็จะยิ่งพบปมที่จำกัดตัวเอง และเป็นความพยายามที่แสวงหาความไร้ขีดจำกัดให้กับชีวิตมนุษย์ที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขจำกัดมันจึงมีภาวะขัดแย้งเป็นธรรมชาติ วิภาษวิธีจึงเป็นการตระหนักรู้ถึงความขัดแย้งและไม่มีที่สิ้นสุดของเหตุผล ในทางศาสนามันก่อให้เกิดญาณหยั่งรู้ที่พ้นไปจากบัญญัติทั้งปวง ไม่ทำให้เราหลงไปกับบัญญัติทางโลกและช่วยให้เราจัดการกับเหตุผลในลักษณะที่นำมันมาเป็นวิถีทาง เพื่อมุ่งสู่ความจริง ไม่ใช่มีชีวิตอยู่ เพื่อรับใช้เหตุผล
อย่างไรก็ดี การให้น้ำหนักเชิงบวกต่อวิภาษวิธีเป็นประเด็นที่โต้แย้งได้ง่าย เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีว่า ปฏิเสธทัศนะหนึ่งเพื่อยืนยันอีกทัศนะหนึ่ง ซึ่งทำให้ขัดแย้งในตัวเอง อีกทั้งคนอาจมองว่าวิภาษวิธีเป็นเพียงอุบาย และเป็นเพียงเครื่องมือที่ไม่สามารถแสดงจุดยืน ของผู้ใช้ออกมาเป็นทัศนะหรือทฤษฎี และการยืนยันทัศนะใด ๆ ก็ตามภายหลังจากการใช้วิภาษวิธีตรวจสอบแล้ว เรื่องนั้น ๆ ก็จะเป็นเรื่องที่ขัดแย้งตัวเองเป็นอย่างยิ่ง เพราะการยืนยันทัศนะของความคิดใด ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือรู้ตัวก็ตาม ก็จัดว่าเป็นขั้วของความคิดนั้น ๆ
ข้อดีของวิภาษวิธี คือทำให้เรารู้ว่าไม่มีความคิดใดสมบูรณ์แบบ อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งสร้างจากความคิดล้วนไม่ใช่ความจริง นาคารชุนจึงนำเสนอวิภาษวิธีไว้ในฐานะเป็นสื่อ ไม่ใช่เป็นความจริงที่มีเนื้อหาในตัวเอง วิภาษวิธีเป็นอุปกรณ์ที่มีไว้ให้ใช้ หากใช้เป็นอุปกรณ์นี้ ก็จะช่วยทำให้คนเกิดสติปัญญา อีกทั้งสามารถเป็นมิตรต่อกันได้
สวัสดีครับ
ขอบคุณพี่ Somsri นะครับ
ที่ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นครับ