ความลับ...ที่คับใจ


หากพบว่าลูกมีปัญหา เวลาจะพูดอะไร ถามอะไร ทำอะไร ให้ทำตอนที่ตัวเองมีสติพร้อม และลูกอยู่ในภาวะที่ผ่อนคลายแล้ว อย่ารีบเร่งทำ เพราะคิดว่าต้องแก้ไขปัญหานั้นให้เร็วที่สุด คิดว่าต้องช่วยเหลือลูกให้เร็วที่สุดแล้วจะดี
 
       เรื่องนี้คิดอยู่นานมาจะพิมพ์ดีไหม  ใจนึงก็อยากพิมพ์เพื่อส่งต่อความคิดออกไป อีกใจก็ยังติดกับอะไรบางอย่าง   สุดท้ายก็ตัดสินใจว่า ไม่อยากให้ใครต้องมาเจอปัญหาแบบนี้เหมือนที่ตัวเองและลูกเจอ อ่านแล้วคงคิดกันใหญ่นะคะ ว่าเรื่องอะไรหนอ  เล่ารายละเอียด ณ ตอนนี้ไม่ได้เนอะ เอาเป็นว่า
 
        แม่ดาวมีประสบการณ์หลายครั้งที่ค่อนข้างจะทำให้ตัวเองมั่นใจมาก ๆ ว่า เด็ก ๆ เนี้ยเขาคิดเยอะนะ แค่เขาไม่ได้แสดงออกมาตรง ๆ แค่นั้น  ไม่รู้จะเชื่อแม่ดาวกันไหม  อย่างลูกชายแม่ดาวเนี้ยแค่ 5 ขวบ วันนึงเขาทำให้แม่ดาวแทบร้องไห้ กับคำพูดที่ว่า “ขอดีโด้เก็บความทุกข์นี้ไว้ในใจคนเดียวนะแม่  ดีโด้รักแม่ บอกแม่ไม่ได้จริง ๆ หากบอกแล้วมันจะทำให้แม่ไม่สบายใจ”  แม่ ดาวก็พยายามจะพูดทุกอย่างที่เท่าคิดว่าพูดแบบนี้ลูกน่าจะยอมบอกเรา แต่เขาก็ไม่พูดมันออกมา บอกแค่นั้น และตบท้ายว่า “หากแม่อยากร้องไห้ ก็ร้องเลยนะ ร้องกับดีโด้นี่แหละ”  มันมีเรื่องราวเกิดขึ้นค่ะ  แต่ไม่สามารถบรรยายออกมาให้ชัด ๆ ได้ 
 
        สิ่ง ที่แม่ดาวพลาดคือ ลูกมีความทุกข์ใหญ่มาก แต่แม่ดาวกลับอยากจะค้นหาคำตอบ อยากจะแก้ไข พยายามถาม พยายามพูดคุยกับลูกคิดว่าหากลูกยอมพูดลูกน่าจะรู้สึกดีขึ้น สบายใจขึ้น กลายเป็นยิ่งพูด ยิ่งเกลี่ยกล่อม ลูกยิ่งเจ็บ ลูกยิ่งทุกข์  กลายเป็น ทุกข์เดิมที่มีคนยัดเยียดมาให้ก็มีอยู่  แล้วตัวแม่ดาวเองก็ยิ่งไปเพิ่มทุกข์ให้หนักไปกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว โดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว ไม่ทันคิดเลย
 
         ลูกไม่ได้อยากแบกไว้เลย ลูกอยากบอกเรามาก  ปกติเขามั่นใจว่าทุกเรื่องเขาคุยกับแม่ได้ทุกเรื่อง  แต่มีคนสร้างเงื่อนไขมาประมาณว่า “อย่าบอก หากบอกแล้วจะทำให้แม่ไม่สบายใจ หากรักแม่ต้องไม่บอกแม่” จากการสันนิษฐานของตัวเองนะคะ  และเขาใช้จุดอ่อนตรงนี้ เขารู้ว่าลูกแม่ดาวผูกพันธ์และรักกันมากขนาดไหน  ดีโด้เลยปิดปากเงียบ
 
        เรื่องนี้ไม่ใช่เราไม่รู้ เป็นความลับที่มันก็รู้ทั้งรู้ มันเห็นชัดมาก แค่อยากฟังจากปากลูกแค่นั้น ผลเสียมันตามมามากมายค่ะ  ลูกมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปเลย ซึม ไม่ค่อยร่าเริง ชอบนั่งเหม่อ และดูไม่สบายใจทุกครั้งที่อยู่กับแม่  เขารู้สึกผิดต่อแม่ เพราะแม่สอนตลอดว่าศีล 5 คืออะไร  เขาคิดว่าแม่ต้องรักเขาน้อยลง เพราะเขาโกหก แต่เปล่าเลย เรากลับรู้สึกรักและสงสารเขามากขึ้นกว่าเก่าเป็นเท่าตัว    
 
        ที่ ถามเพราะอยากให้เขาระบายออก เด็ก 5 ขวบเขาจะจัดการความทุกข์แบบนี้ได้อย่างไร คิดเอาเองแบบนี้น ก็พยายามชวนพูดคุยใช้จิตวิทยามากมายก็ไม่เป็นผล  แม่ดาวช่วงอาทิตย์นั้นทุกข์มาก  วางไม่ลง ปลงไม่ได้  คิดๆๆๆ จนคิดว่าน่าจะคุยกับลูกพี่ลูกน้องคนนึงซึ่งเรียนครู เลยลองถามดูเผื่อจะได้ข้อมูลอะไรดี ๆ เป็นประโยชน์กับเรา  พอ ได้คุยแล้วโล่งใจไปนิดนึง เหมือนตัวเองได้ระบายออกแล้วมีคนเข้าใจรับฟังด้วย ข้อมูลที่ได้ก็มีประโยชน์มากมาย บางอย่างเราก็คิดไม่ถึง และเป็นโชคดีของแม่ดาวที่น้องเขามีเพื่อนที่เรียนด้านจิตวิทยาศึกษาอยู่ปี 4 แล้ว แม่ดาวก็เหมือนได้พบจิตแพทย์ผ่านโทรศัพท์  ตอนนั้นธรรมะเอาไม่อยู่จริง ๆ ฟุ้งค่อนข้างเยอะ เครียดแหละ  และตัวเองก็คิดอะไรได้มากขึ้น พอใจมันโล่ง มันเบาสักนิด ก็พอจะคิดอะไรออก
 
        เหตุการณ์นั้นผ่านไปเกือบ ๆ ดีค่ะ  พอเรามีสติเราจะมีปัญญาค่ะ มองเห็นปัญหาได้ไม่ยาก สาเหตุหลัก ๆ ของความทุกข์ที่แท้จริง คือ ตัวแม่ดาวเอง  ลูก กลัวและกังวลมากที่แม่ดาวเครียด เขาคงโทษตัวเองว่าเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ไม่สบายใจ ที่เขาไม่ยอมบอกออกมา เพราะนี่ขนาดไม่ได้บอกนะเนี้ยแม่ยังทุกข์ได้ขนาดนี้  เขาคิดเองว่าถ้าบอกออกมาสงสัยแม่ดาวต้องช้ำใจ ทุกข์ทรมานนมากแน่ ๆ   เขาไม่ชินกับแม่ดาวในสภาพแบบนั้น ปกติหลัง ๆ แม่ดาวจะทุกข์ได้ แต่ไม่ทุกข์นานไง  ถึงเราไม่บอกนะคะ ว่าเราทุกข์ เขาก็รับรู้ได้ผ่านจากสายตา ท่าทางเรานี่แหละ  ถึงจะพูดปากจะฉีกยังไงว่า “บอกมาเถอะลูก แม่รับได้ แม่ไม่เป็นไรจริง ๆ”  ก็ไม่เกิดผล เพราะสิ่งที่เขารู้สึกตรงข้ามกัน  ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ เรารับได้นะ แต่ลูกไม่เข้าใจไง ก็เขายังเด็ก เขาติดสินใจด้วยตัวเขาเองว่า “ต้องไม่บอก บอกไม่ได้ แม่จะไม่สบายใจ แม่จะทุกข์” ด้วยความรักแม่มากนี่แหละที่ทำร้ายเขา  และทำร้ายเราด้วย
 
        จบปัญหานั้นด้วยการมองข้ามไปค่ะ ปล่อยผ่าน  เก็บไว้ในใจทั้งคู่ ตัวเรา “อยากรู้จากปาก แต่ไม่อยากถาม” ยิ่งถามลูกยิ่งทุกข์   แล้ว ทำถามต่อไปเพื่อ........คนที่เขาทำกรรมนี้ คิดว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายลูกและเราขนาดนี้หรอกค่ะ แม่ดาวคิดเองนะ เขาทำเพื่อปกปิดความผิดตัวเอง ให้ลูกเราเป็นคนผิดแทน  ก็รู้อยู่เต็มอก  จบด้วยการ “อภัยทาน” จะได้ไม่ต้องมีเวรกรรมกันต่อไปภายภาคหน้า 
 
        และ วันนี้ที่มีแรงบันดาลใจอย่างมากที่อยากจะพิมพ์บทความนี้ เพราะได้อ่านหนังสือเล่มนึงเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกวัยรุ่น ปัญหาแบบเดียวกับลูกเราเลย ถึงว่าตอนถามน้องนักศึกษาจิตวิทยา เขาก็งงว่าลูกเรา 5 ขวบจริงเหรอ คงคิดว่าฟังผิด  ล่าสุดที่ได้ไปฟังบรรรยายที่มูลนิธิเครือข่ายครอบครัวจัดขึ้น ก็ได้เอาคำถามนี้ไปถามกับจิตแพทย์โดยตรง  ก็ได้คำตอบเหมือนที่เราคิดไว้ และบางข้อมูลก็ช่วยทำให้แม่ดาวโล่งใจขึ้นเยอะ  
 
        คือ แม่ดาวมองว่าเขาเป็นเด็ก 5 ขวบ ยังยอมทนแบกความทุกข์ซึ่งหนักมากขนาดนี้เอาไว้ ต่อไปในอนาคตเป็นวัยรุ่นเวลามีปัญหาใหญ่กว่านี้ หากใช้เหตุผลเดิม คือกลัวแม่ไม่สบายใจจะไม่กล้าบอกอีกหรือเปล่า คุณหมอมองว่า เขาไม่เป็นห่วงข้อนี้ เพราะเท่าที่ฟังท่านมองว่า ลูกเราเขารู้ดีรู้ชั่ว มีความยับยั้งชั่งใจ ท่านมองว่าไม่น่าเป็นห่วงเลย และบอกว่าเราเลี้ยงมาถูกทางแล้ว  คุณหมอเองก็ยังบอกว่า คิดเกินวัย (ไปมาก) ในวงเล็บเนี้ยแม่ดาวเติม  แม่ ดาวก็เลยกลับมาอุเบกขาอีกครั้ง วางใจแต่ไม่วางเฉยนะคะ ติดตามพฤติกรรมปกติ มีหลายอย่างเปลี่ยนไปจากเดิมมาก แต่ก็มองว่าเป็นธรรมดา เจอปัญหามาขนาดนี้แบกเอาไว้เอง ก็ต้องเป็นแบบนี้  แค่สอนเรื่องการจัดการความทุกข์เยอะขึ้น สอนธรรมะเยอะขึ้น แต่ไม่ตึงเครียดนะคะ ขำ ๆ ไปวัน ๆ แม่ดาวก็ขำ ๆ ฮา ๆ อยู่แล้ว 
 
       ตอนนี้ได้นิทานเรื่องใหม่โดนใจแม่และลูกมาก อ่านเจอจากในเว็บ เป็นเรื่องคล้าย  ๆ กับเรื่องของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนบรรดาเหล่าพระลูกศิษย์ เกี่ยวกับเรื่อง “หมาป่าขี้เรื้อน” ใครสนใจนำไปสอนลูก ทำเป็นนิทานก่อนนอนดีมากเลยนะคะ เพิ่มกำลังสติลุกแม่ดาวได้มาก เรียกว่ากระตุกต่อมสติตื่นกันเลยทีเดียว  คิด ว่าเขาได้ปัญญาด้วยนะ พอเล่าจบก็ถามเขา ว่าทำไมพระรูปนั้นถึงพูดว่า “ตัวเองยังเป็นขี้เรื้อนอยู่ ยังต้องรักษาอาการให้หายขาดเสียก่อน”  เขาตอบถูกด้วยนะ  แสดงว่าเขาเข้าใจในระดับนึง  ฟังแล้วเขาคงคิดตามด้วย แต่แม่ดาวเล่าขำนะ ขำตลอดแหละ เด็กชอบขำ ๆ ยิ่งดีโด้เนี้ยต้องเอาขำนำ ก่อนคำสอน อิอิ
 
***บทความนี้สอนให้รู้ว่า  หากพบว่าลูกมีปัญหา  เวลาจะพูดอะไร ถามอะไร ทำอะไร ให้ทำตอนที่ตัวเองมีสติพร้อม และลูกอยู่ในภาวะที่ผ่อนคลายแล้ว  อย่ารีบเร่งทำ เพราะคิดว่าต้องแก้ไขปัญหานั้นให้เร็วที่สุด  คิดว่าต้องช่วยเหลือลูกให้เร็วที่สุดแล้วจะดี  อย่าทำแบบแม่ดาวนะคะ  รอก่อนคิดตอนที่มีสติและปัญญา  และทำตอนที่มีสติและปัญญาเช่นเกัน  ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะทุกข์  2  ต่อ แบบที่แม่ดาวเคยเป็น “รีบแก้ แล้วแย่เลย”   และ ขอบอกเลยนะคะว่าเรื่องผ่านไปเป็นเดือนแล้ว แต่ลูกชายเนี้ยเขายังระลึกถึงมันได้เสมอ หากเราเผลอไปโดนจุดนี้เข้า ถึงไม่ตั้งใจ แต่เขาคิดตลอด  คิดว่าเหตุการณ์นี้เป็นอะไรที่ทุกข์ใหญ่ที่สุดเท่าที่แม่ดาวกับลูกเจอนะ ณ ช่วงปีนี้นะ    
 
     เจ็บเนอะ เจ็บลึก เจ็บนาน เจ็บจี๊ด ๆ ในใจ .นี่แหละรสชาติของชีวิต  คงต้องใช้เวลาดูแลรักษาเยียวยากันอีกนานกว่าจะหายเจ็บ  ถึงหายก็ไม่รู้จะสร้างแแผลเป็นในใจลูกหรือเปล่า อันนี้ก็แล้วแต่เขาแล้วแหละ เราก็ช่วยได้เต็มที่แค่นี้  ที่เหลือคือเขาต้องช่วยตัวเองด้วย จริงไหม
หมายเลขบันทึก: 499376เขียนเมื่อ 20 สิงหาคม 2012 09:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 สิงหาคม 2012 10:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

และบทความต่อจากเรื่องนี้ คือ "คุณคือจิตแพทย์คนแรงของลูก" เป็นภาคต่อจากเรื่องนี้นะคะ

...คุณแม่ดีดี ครับ มีคนบางคนพูดไว้ว่า ถ้าเจอปัญหาโดนใจ ให้ถอยหลัง ตั้งหลักสักก้าว พินิจพิเคราะห์หาทางหนีทีไล่ หาวิธีแก้ไข เพื่อจับปัญหาให้มั่น ไม่ต้องทันใจเสียทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องลูก คุณแม่ว่าจริงไหม แต่ผมเจอบ่อย และทำแบบนี้บ่อย ครับ

เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ คุณชยันต์ หลาย ๆ ครั้ง หลาย ๆ คน รวมทั้งตัวเองด้วยเมื่อก่อนพอเจอปัญหา ไม่ล้มตึง ก็จะพุ่งใส่ปัญหาทันที ไม่ได้มองคิดให้รอบ ๆ ด้านเสียก่อน เร่งคิดแก้ไขตอนที่มีปัญหาเลย แต่ไม่ได้คิดตอนที่มีปัญญา ขาดสติ หลงและลืมตัว บางปัญหาหากหนักหรือยากเกินแก้ไข ก็ควรต้องวางไวัก่อน หยุดและคิดไตร่ตรองตอนที่เรามีสติปัญญาพร้อม ไม่ต้องแบกมันเอาไว้ เรียกว่าเรียนรู้ความทุกข์อย่างมืออาชีพเนอะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท