แม่ดาวเป็นมือใหม่หัดปฏิบัติธรรมะ จุดเริ่มต้น หรือจุดเปลี่ยนของชีวิต อาจเหมือนกับหลาย ๆ ท่าน คือ การเบื่อหน่ายความทุกข์ รู้สึกว่าทนไม่ได้กับ "ควาทุกข์" ที่ตัวเองได้รับ เมื่อมันที่ขีดสุดก็ต้องหาทางออกให้ได้ และอีกอย่างคือการที่แม่ดาวมีลูก
วิธีการเดิม ๆ ที่แม่ดาวเคยใช้ มันไม่ได้ผล เช่นการหาใครสักคนที่จะมาช่วยรับฟังแบ่งเบาบรรเทาความทุกข์นั้น หรือการหาที่ยึดที่ใหม่ เบี่ยงเบนความสนใจไปที่อื่น เช่นทุกข์ ก็ไปซื้อของ ซื้อแบบที่เรียกว่าไม่มีสติ สตางค์ก็ไม่ค่อยมี แต่คิดว่านี้แหละคือวิธีดับทุกข์ สุดท้ายก็เข้าใจว่าที่เราทำมัน "ผิด" ทางออกที่คิดว่าใช่แท้จริงนั้น แค่การลืมทุกข์ไปชั่วคราว แต่ควาทุกข์ยังอยู่กับเราเสมอ มันไม่หายไปไหน แค่ตกตะกอนอยู่ในใจ พอโดนสิ่งกระตุ้นเดิม ๆ ถูกกวนด้วยกิเลศต่าง ๆ ตะกอนความทุกข์ที่คิดว่าหาย ก็ลอยตัวมาก่อกวนหัวใจ ให้ทุกข์นั้นกลับมาอีกครั้ง เศร้าหมอง ทุกข์ระทม หดหู่เช่นเคย
มานั่งคิดไม่ได้แล้ว ปัญหานี้มันต้องมีทางแก้ และต้องแก้ได้แบบถาวร หรือให้ความทุกข์นั้นมันลดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันต้องมีสักทาง มานั่งคิด ๆ เอ......หรือว่าจะลองเดินทางที่คิดว่ายากที่สุดสำหรับเราดู หนทางนี้คือหนทางแสงสว่าง ที่ใคร ๆ ก็บอกว่ามันสว่าง สะอาด สงบ ฟัง ๆ อ่าน ๆ มาเขาก็ว่าเช่นนั้น ก็ไม่เคยลองอย่างจริงจังสักที อย่างมากก็แค่ซื้อหนังสือมาอ่าน หนังสือธรรมะดี ๆ สักเล่มที่คิดว่าอ่านง่าย เข้าใจง่าย อ่านแล้วก็ทำให้สบายใจขึ้นทุกครั้งนะ แต่ไม่เคยคิดปฏิบัติตาม ก็คิดว่าแค่อ่านแล้วใจเราก็สบายแล้ว คิดเองว่ามันก็หายแล้ว ณ ตอนนั้น "โง่" มาก คิดว่านั่นคือวิธีการที่ใช่อีกแล้ว
อ่าน ๆ ไป เอ๊ะ.....ก็อ่านแล้วทำไมใจยังทุกข์เรื่องเดิมอีกนะ มันไม่หายอีก เอาใหม่ ที่นี้ไม่แค่อ่านแล้วจะเริ่มฝึกปฏิบัติ จะเอาจริง ลองดูสักตั้ง ไม่ลองไม่รู้ เราก็เกิดมาในยุคนักวิทยาศาสตร์เนอะ แถมเกิดมาทะเบียนบ้านก็ระบุกันชัด ๆ ว่านับถือศาสนาพุทธ อย่าให้เสียชาติเกิด ต้องพิสูจน์ให้รู้ด้วยตัวเอง และทางนี้ไม่มีอะไรสักนิดที่จะเสียหาย ถ้าไม่ดีขึ้น ก็เสมอตัวแหละคิดว่างั้น และที่คิดเช่นนั้นว่าการลงมือปฏิบัติจริง ๆ น่าจะหายทุกข์ ด้วยการอ่านหนังสือ "ดูจิตชั่วพริบตา" ได้อ่านอย่างบังเอิญสุด ๆ ไปห้องสมุดของที่ทำงานสามี จำได้ลาง ๆ ว่า เหมือนสามีจำเป็นต้องไปหาข้อมูลอะไรสักอย่างแล้วชวนแม่ดาวไปด้วย ระหว่างที่รอนี่แหละ ไม่รู้จะอ่านอะไรดี นิตยสารก็ไม่มีให้อ่านสักเล่ม มอง ๆ ไป อยู่บนชั้นที่สะดวกหยิบมาอ่านมาก นั่งอ่าน ๆ ติดใจ สนุกมาก อ่านเพลิน จนขอยืมกลับมาบ้าน และในที่สุดก็ไปซื้อมาเก็บไว้เป็นของตัวเอง ด้วยความชอบมาก ทั้ง ๆ ที่จริงตัวเองเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือสักเท่าไหร่ ยิ่งตัวหนังสือเยอะ ๆ เนี้ยอ่านแล้วหลับทุกที
อ่านแล้วเกิดเห็นทางออกแห่งการดับทุกข์ที่คิดว่าน่าจะต้องลอง และเริ่มทำไปเรื่อย ๆ แรก ๆ ก็เกิดอาการสงสัย ทำไป งงไป ตลอด แต่ไม่รู้จะไปถามใคร คนรอบ ๆ ตัวส่วนใหญ่ก็อยู่ไกลธรรมะซะเหลือ มองไม่เห็น ผู้รู้ ก็ทนทำๆ ไป ทำทั้ง ๆ ที่ความคิดก็ฟุ้งซ่านไปสารพัด ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ ความสงสัย สารพัดเรื่องที่อยู่ในหัว
เริ่มจากการฝึกการรู้ตัวในชีวิตในประจำวันก่อน ไม่ว่าจะเป็นเดิน นั่ง ล้างจาน ฯลฯ ทำแบบงงๆ มาก แต่ก็ทำนะ ที่ว่างง เพราะใช้ความคิดกับที่ว่า “ให้ทำแบบไม่ต้องคิด ให้เพียงแค่รู้สึกตัว” แต่ตัวเองเนี้ยต้องใช้ความคิดตลอด เช่น จากเดินได้ปกติ ก็แทบจะล้มหัวทิ่ม เดินแล้วต้องคิดว่าก้าวเท้าไหน ยังไง เดินไปก็หงุดหงิดไป ทำด้วยอาการแบบนี้ไปสักพัก ระหว่างนั้นก็สวดมนต์ไหว้พระไปด้วย แต่ยังไม่มีการนั่งสมาธินะคะ
การสวดมนต์เป็นอะไรที่ยากมากสำหรับมือใหม่หัดฝึกปฏิบัติอย่างแม่ดาว อ่านภาษาบาลี เป็นอะไรที่ลำบากที่สุด อ่านไป ก็เครียด ไม่ได้สงบเลย รู้สึกหงุดหงิดตัวเองมาก อ่านไม่ค่อยจะออก เลยทำให้ติด ๆ ขัด ๆ อีกแล้ว อะไรก็กลายเป็นปัญหาไปซะหมด แต่ก็ไม่เลิก ก็ทนอีก ทำ ๆ ไปอยู่อย่างนั้น ช่วงนั้นมัวแต่พะวงกับการสร้างสติ จนลืมความทุกข์ไปชั่วขณะ จิตไปจดจ่อกับสิ่งทีพยายามทำอยู่ แต่ก็หลงนะ ตอนนั้นไม่รู้ตัวหรอกว่าเรา ลืมทุกข์
ความคาดหวังยิ่งทำให้เรายิ่งทุกข์ กดดันตัวเองมากขึ้น จนวันนึง เหมือนพระพุทธองค์คงมองเห็น เลยดลบันดาลใจให้เราไปเจอกับหนังสือของพระอาจารย์ไพศาล วิศาโล ชื่อ “ตื่นก่อนตาย” เป็นอีกเล่มที่อ่านแล้วประทับใจชอบมาก ท่านเขียนอ่านเข้าใจง่ายเหมาะกับคนที่มีความรู้น้อย ๆ อย่างเรามาก ชื่นชอบเป็นการส่วนตัว อ่านแล้วเริ่มคิดอะไรบางอย่างได้ และเหมือนจะเริ่มปฏิบัติได้ดีขึ้น อันที่จริงก็มีเหตุปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายแหละค่ะ ที่ช่วยขัดเกลาจิตใจของเราให้สะอาดมากขึ้น
เริ่มทุกข์เป็นบ้างแล้ว เริ่มเข้าใจและเรียนรู้ที่จะอยู่กับความทุกข์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทุกข์มากก็วางไว้ก่อน ไม่เอามาแบกไว้ มีสติมากพอ ปัญญาก็จะตามมาแล้วก็ค่อย ๆ คลี่คลายแต่ละปมปัญหาที่คาใจออกที่ละส่วน ค่อย ๆ แก้ไปทีละจุด ทีละเรื่อง จนเริ่มรู้สึกว่า “ใจเบา” ต่อมาก็เริ่มมาติดสุข ติดดีอยุ่สักพัก ติดดีเนี้ย อย่างที่ท่านพระอาจารย์ไพศาลเทศน์ไว้เลย ติดดี ก็เกิดทุกข์ แถมแก้ยากกว่าติดทุกข์อีกต่างหาก เพราะคิดว่ามันดี
ช่วงที่ติดดี ก็ทุกข์นะ มองคนอื่นไม่ดีได้ง่ายกว่าตอนก่อน ๆ คิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดเนี้ยดีแล้ว ถูกแล้ว เอาอีก ทุกข์อีก กลับมาที่จุดเดิม ความทุกข์ แต่ตอนนี้มีตัวสติ พอจะมีกำลังสติพอสมควร เขาเริ่มมาเตือนเราว่านี่ “เราติดดี” แล้วนะ แก้ซะ ยังไงล่ะ ถามใคร ที่ไหนดี เป็นศิษย์ไม่มีครู อาศัยหนังสือ ฟังซีดี แต่อยากได้คำแนะนำแบบชัดเจน เฉพาะจุด สำหรับตัวเอง ตอนนั้นคิดไม่ออกนะจะไปหาใครที่ไหน โทร.ถามพี่คนนึงที่คิดออกว่าน่าจะรู้จักใครสักคนที่แนะนำเราได้ พี่เขาแนะนำให้ไปหาพระ
เอ่อ.....เรา กับ พระ เนี้ย เหมือนอยู่คนละโลกเลยนะ สำหรับความคิด ณ ตอนนั้น ฟังแล้วเป็นอะไรที่ไกล ยาก เข้าไม่ถึงแน่ ๆ แล้วจะหาพระที่ไหนนะ ที่จะมานั่งสนทนาธรรมกับคนธรรมดา ๆ อย่างเรา คิดเหมาเอาเองทั้งหมด ก็ไม่ไป หาอ่านเอาตามเว็บ ค้นข้อมูลเฉพาะที่เราสงสัย ก็ได้คำตอบแหละ แต่แล้วจะรู้ได้ไงว่า “ใช่” ความจริง กลับมาคิดถึงคำที่เคยได้ยินบ่อย ๆ คำสอนของพระพุทธเจ้า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” คิดถึงคำนี้ และคำว่า “โอปนยิโก” ถ้าให้แปลแบบตัวเองเข้าใจ คือ ให้น้อมนำมาปฏิบัติแล้วจะรู้ได้ด้วยตัวเราเอง แปลผิดต้องขออภัยแต่เข้าใจแบบนี้ เลยทำแบบดิบ ๆ ด้านทำต่อไป
เริ่มสนใจการนั่งสมาธิมากขึ้น จากที่นั่งบ้างไม่นั่งบ้าง พอได้นั่งสมาธิก็นั่งได้แค่ 5 นาทีอย่างเก่ง 5 นาทีเนี้ยฟุ้งตลอดนะ เหน็บกินอีกต่างหาก ใจเนี้ยคิดว่านาน ก่อนหลับตาดูนาฬิกาตลอด พอลืมตามา อะไรเนี้ยเพิ่งผ่านไปแค่ 5 นาที รู้สึกมันช่างยาวนานเหลือเกิน ไม่สงบเลย เอาอีก ไปกำหนดไว้ว่า นั่งแล้วต้องใจสงบ จนอีกแหละเหมือนจะเหตุบังเอิญมากมายที่ในช่วงเริ่มปฏิบัติ ที่เวลามีคำถามในใจที่ไม่รู้จะถามใคร ก็มักจะได้คำตอบในเวลาต่อมาไม่นานนักแบบไม่ได้ตั้งใจ บ่อย ๆ แรก ๆ ก็คิดขำ ๆ ตลกดี แปลกดี ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ ต่อมาเริ่มบ่อยเข้า ๆ เอ.....หรือว่ามันไม่บังเอิญเนี้ย หรือเหตุบังเอิญจะไม่มีในโลกจริง ๆ เริ่มสงสัยอีกแล้ว ทุกอย่างก็ทำแบบสงสัย ๆ แต่ใคร่รู้ และต้องพยายามหาคำตอบให้ได้เสมอ ๆ หากว่างจากงานหลัก คือการเลี้ยงลูกและงานบ้านแล้วช่วงนั้นก็จะค้นหาคำตอบไปเรื่อย ๆ
ประมาณ 1 ปีผ่านไปแล้วกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่ได้ ณ ปัจจุบัน คือ รู้สึกว่าชีวิตตัวเองดีขึ้นมากๆ แบบที่ไม่เคยคิดว่าจะดีมากขนาดนี้ ไม่ได้รวยขึ้น ไม่ได้หมดทุกข์ ทุก ๆ อารมณ์ล้วนยังมีครบ เพียงแต่มันค่อย ๆ น้อยลง เคยโดนสามีต่อว่า “ปฏิบัติธรรมะแล้วทำไงยังโกรธ” ก็ตอบไปแบบโกรธแต่มีสติกำกับว่า “อ้าว...ก็แค่คนฝึกปฏิบัตินี่นะ ไม่ใช่พระอรหันต์” ตอบสักพักอารมณ์ก็ค่อย ๆ ลดลงกลายเป็นปกติ ส่วนอีกฝ่ายไม่แน่ใจนะคะ
ปัจจุบัน นั่งสมาธิในนานขึ้น แต่ก็ไม่ได้นานมาก สัก 30- 40 นาทีเยอะสุดที่เคยทำได้ แต่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน บอกได้เลยว่าไม่ได้สงบได้ทุกครั้ง ฟุ้งบ้าง สงบบ้าง ตามประสาคนที่ยังมีกิเลศ แต่ไม่หงุดหงิดแล้ว เห็นความรู้สึกตัวเอง และก็แค่เห็น แค่รู้ อย่างที่ไม่เคยเข้าใจ ตอนนี้เริ่มจะเข้าใจขึ้นอีกนิดแล้วว่าเป็นยังไง
อยากถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ เพราะคิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับหลาย ๆ คนที่คิดว่า ตัวเองคงทำไม่ได้ ชีวิตอยู่ห่างไกลธรรมะเหลือเกิน ใจร้อน ขี้หงุดหงุด แต่ละอุปนิสัยช่างดูจะไกลจากธรรมะ แต่อยากยืนยันอีก 1 เสียงว่า เราทำได้นะคะ หากเราคิดจะทำ เราทำได้แน่ ๆ ดูอย่างแม่ดาวซิ เมื่อก่อนเนี้ยสุด ๆ นางมาร เห็น ๆ แต่ก็เปลี่ยนตัวเองได้อย่างที่ตัวเองยังแปลกใจกับตัวเองเลย ว่านี่เราก็ทำได้เหมือนกันเนอะ หากอยากรู้ว่าช่วงเวลาความ “สงบสุข” เป็นยังไง ต้องลองนะคะ ต้องมาสัมผัสด้วยตัวคุณเอง แน่นอนค่ะ หลายท่านก็อาจจะเป็นเหมือนแม่ดาวไม่ได้รู้สึกสงบสุขตลอดเวลาหรอก แต่แค่บางช่วงที่รู้สึกได้แบบนี้ มันก็รู้สึกดีอย่างที่อธิบายไม่ถูกทีเดียว ต้องลอง
โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทั้งหลายที่ใจร้อน อารมณ์เดือดง่าย ๆ อยากให้ลองทำจริง ๆ เป็นคำถามยอดฮิตที่แม่ดาวตอบไปหลายครั้ง
กับคำถาม "ทำอย่างไรถึงจะใจเย็น"
หลายคนทีอ่านบทความแม่ดาวสงสัยจะวาดภาพแม่ดาวเป็นนางฟ้าใจดี แน่ ๆ ที่แท้ก็เป็นนางมารกลายพันธ์ต่างหาก อิอิ