หนังสือเล่มหนึ่ง ดึงดูดใจให้ผมพยายามหาคำตอบว่า
มันเป็นยังไง พร้อมคำโปรยของปกหน้าที่บอกว่า
"ทรงกลด บางยี่ขัน" บรรณาธิการบริหารของนิตยสาร a day เป็นเจ้าของผลงานนี้ เขาเขียนไว้ในคำนำที่ใช้ชื่อ "จุดเทียน" ว่า
"... ความเรียงทั้ง ๑๐๐ เรื่องที่บรรจุในหนังสือเล่มนี้ รวมมาจากหนังสือเรื่อง "นายเท้าซ้าย เด็กชายเท้าขวา" และ "นั่งฝั่งตะวันตื่น ยืนฝั่งตะวันตก" เติมด้วยงานเขียนอื่น ๆ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๕ - ๒๕๕๕ นับเวลาได้ ๑๐ ปีพอดี ..."
...
"... ผมชั่งใจอยู่นานว่าจะใช้ "โปรดอ่านใต้แสงเทียน เพราะผมเขียนใต้แสงดาว" เป็นชื่อหนังสือเล่มนี้ดีไหม เพราะมันเป็นชื่อที่ดีในวันนั้น แต่อาจจะไม่ใช่ชื่อที่ดีในวันนี้ แต่มันก็เป็นชื่อที่มีความหมายสำหรับผม เพราะเป็นชื่องานเขียนชิ้นที่สองในชีวิตของผมที่ได้ตีพิมพ์ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมกลายเป็นคอลัมนิสต์ประจำ จนกลายมาเป็นเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ และทำให้ผมกลายมาเป็นคนทำหนังสือถึงทุกวันนี้ ..."
...
...
ผมพลิกอ่าน หน้า ๓๗๗ ก่อน เพราะเป็นชื่อความเีรียงเดียวกับชื่อหนังสือ
ในขณะที่คุณเริ่มต้นอ่านบรรทัดแรกด้วยความสว่างไม่ว่าจะกี่แรงเทียนก็ตาม ผมเริ่มต้นเขียนบรรทัดนี้ด้วยความสว่างระดับสองพันแรงดาว อาจมีบวกลบบ้างเล็กน้อยเนื่องด้วยแรงจากแสงดาวตกที่วูบวาบผ่านมาเป็นระยะ
เคยมีคนถามผมว่า อาชีพอะไรน่าสนใจที่สุดในโลก ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน แต่ถ้าถามว่าอาชีพอะไรน่าสนใจที่สุดนอกโลก ผมคงตอบได้ทันทีว่า "นักบินอวกาศ"
อาชีพนี้เป็นสายพันธุ์หนึ่งของนักเดินทางที่ล่องไปลอยมาอยู่บนถนนสูญญากาศ สองข้างทางล้วนเต็มไปด้วยดวงดาวที่อยู่ในระดับสายตา โดยไม่ต้องการเงยหน้ามองให้เมื่อยคอ ยิ่งถ้านักบินหนุ่มสาวคู่ไหนเกิดไปปิ๊งปั๊งกันบนอวกาศ การเดินทางครั้งนั้นคงเป็นที่อิจฉาของใครต่อใครเข้าไปอีกจะมีสักกี่คนล่ะ ที่จะมีความรักแบบนั้นแบบไร้แรงโน้มถ่วงได้อย่างพวกเขา
มนุษย์เราน่าจะเริ่มดูดาวตั้งแต่วิวัฒนาการมาถึงยุคที่พอจะแหงนคอมองฟ้าได้ ดูไปดูมาก็ติดอกติดใจ เลยหยิบยืมดาวมาทำเป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ แม้ว่าในความเป็นจริง จะมองเห็นดวงดาวเป็นแคุ่จุดสว่างเล็ก ๆ แต่เมื่อผสมจินตนาการลงไป ดวงดาวที่เราคุ้นกันก็กลายเป็นแฉกแตกเป็นประกายจนเป็นที่น่าสงสัยว่าดาวดวงกลมที่ลอยตุ๊บป่องอยู่กลางอวกาศกับดาวห้าแฉกที่พบเจอได้ตามป้ายทั่วโลก อย่างไหนสวยกว่ากัน
นอกจากดวงอาทิตย์ที่เห็นหน้ากันทุกวัน กับดวงจันทร์ที่เห็็นหน้ากันเกือบทุกคืนแล้ว น่าจะถือว่าดวงดาวเป็นเพื่อนสนิทอีกอย่างของมนุึษย์ได้ เพราะดวงดาวโผล่มาทักทายเราทุกคืน เพียงแต่อาจจะมีดวงจันทร์ ดวงไฟ เมฆ ฝุ่น ควัน มาบดบังไปบ้าง คนในเมืองเลยได้เห็นดวงดาวไม่บ่อยนัก
ลองหงายมือขวาขึ้นมา ถ้าเส้นเดินทางของคุณไขว้กันเป็นรูปดาวแล้วล่ะก็ คุณกำลังจะเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางที่ชื่อ "ฤดูดาว" แล้ว
การจะหาที่นอนดูดาวสักแห่งไม่ใช่เรื่องยาก แค่หาบริเวณที่มืดสนิท ปราศจากแสงไฟรบกวน อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลพอสมควร ยิ่งสูงขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่เมฆหมอกฝุ่นควันจะลอยมาบังก็ลดน้อยถอยลง แล้วลานที่จะดูก็ต้องเปิดโล่งไม่มีอะไรมาับังสายตามาจนเกินไปนัก
ที่สำคัญอย่าลืมดูข้างขึ้นข้างแรมก่อนออกจากบ้าน มิเช่นนั้นทั่วทั้งท้องฟ้าอาจจะมีแต่พระจันทร์ดวงโตลอยเด่นเป็นสว่างอยู่ดวงเดียว
จากเหตุผลที่ว่ามา เราเลยเดินทางมาหยุดอยู่ทีรีสอร์ตเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใกล้กับแก่งหินเพิง จังหวัดปราจีนบุรี ด้วยความตั้งใจว่าจะมานอนตากดาวกันให้ฉ่ำปอด
ไหน ๆ ก็มาทั้งที จะมัวมาดูแค่กลุ่มดาวงูและกลุ่มดาวปลา ก็กลายเป็นดูดาวแบบงู ๆ ปลา ๆ เราจึงเชิญวิทยากรระดับ ๕ ดาว อย่างคุณตระกูลจิตร จิตตไสยพันธ์ เจ้าของคอลัมน์ส่องจักรวารในนิตยสารสารคดี มาช่วยนำเราท่องจักรวาลอย่างเป็นระบบ
ก่อนจะพาออกไปสู่ชั้นบรรยากาศ เราต้องเรียนรู้วิธีดูดาวและเรื่องราวบนท้องฟ้ากันก่อน เรื่องราวทีุ่คุณตระกูลจิตรเล่าสู่กันฟัง ดูเหมือนจะยาก และเอาเข้าจริง ๆ ก็เข้าใจและเข้าไปถึงได้โดยง่าย อย่างเช่น ทางช้างเผือกคืออะไร ดาวประจำราีศีของตัวเองหน้าตาเป็นยังไง รอลุ้นขอพรจากดาวตกช่วงไหนถึงจะสมหวัง ทำไมดาวเหนือถึงไม่เคลื่อนที่ คนไ่ทยกับคนยุโรปเห็นดาวบนท้องฟ้าหน้าตาเหมือนกันไหม ดาวเวก้าในหนังเรื่อง Contact อยู่ตรงไหน ดาว B612 ในเรื่อง เจ้าชายน้อย มีจริงหรือไม่ หรือดูดาวแล้วได้อะไร
เรียกว่าเป็นความรู้ทางดาราศาสตร์สำหรับนักดูดาวเอาโรแมนติกก็พอได้
พอไ้ด้รับการถ่ายทอดวิชาดาว (Dao Load) มาแล้ว เราก็จะไปอุ่นเครื่อง (Warm Dao) กับภาพถ่ายดวงดวงและจักรวาลของคุณตระกูลจิตร ซึ่งขึงจอฉายกันต่อหน้าต่อตา่ท้องฟ้าและดวงดาว เมื่อทุกคนพร้อมก็มารวมตัวกันที่ลานดูดาว (Dao Town) หาที่นั่งดูดาว (Sit Dao) หรือนอนดูดาว (Lay Dao) กันตามชอบใจ แล้วมาดูกันว่าพอเรารู้จักดวงดาวแล้ว ท้องฟ้าจะสวยขึ้นไหม
ดูด้วยตาเปล่าจนหนำใจแล้วก็เปลี่ยนมาเป็นดูดาวด้วยกล้องโทรทรรศน์กำลังขยายขนาดน้อง ๆ หอดูดาวกันบ้าง
ในช่วงที่ดูดาวหมดฟ้าแล้ว ก็พักดื่มนมกันใต้ทางช้างเผือก (Milky Way) จากนั้นก็ฟังเรื่องเล่านิทานตำนานดาวและท้องฟ้ากันสักครู่ ก่อนจะกลับไปดูดาวรุ่งดาวใหม่ ๆ ที่เพิ่งแจ้งเกิดบนท้องฟ้า นั่งดูกันไปจนถึงเช้า ใครง่วงก็แยกย้ายไปนอน (Shut Dao) ได้ตลอด
นักบินอวกาศอาจจะใช้เวลาไม่รู้กี่ชั่วชีวิตถึงจะเดินทางได้ทั่วกาแล็กซี่ แต่เราแค่เอนหลังพิงหญ้าแ้ล้วใช้สายตาย่ำไปบนท้องฟ้าคืนเดียวก็ไปได้ทั่ว อาจจะเริ่มจากดาวจระเข้ แล้วค่อยติดรถดาวสารถีไปตามทางช้างเผือก ผ่านดาววัว ดาวคนคู่ ดาวสุนัขเล็ก ดาวสุนัขใหญ่คู่ใจดาวพราน ตัดเข้าถนนวงแหวนรอบนอกของดาวเสาร์ แวะเยี่ยมดาวสิงโต ดาวหมีเล็ก และกลุ่มดา้วน้อยใหญ่อีกมากมาย ก่อนจะไปสุดสายที่เส้นขอบฟ้า
ดวงดาวบนท้องฟ้าอยู่ห่างไกลจากโลกของเราออกไปก็หลายล้านปีแสง ภาพดวงดาวที่ปรากฎอยู่บนท้องฟ้า คือภาพดวงดาวดวงนั้นเมื่อหลายล้านปีที่แล้ว ซึ่งเพิ่งเดินทางมาถึงตาของเรา การดูดาวจึงไม่ต่างอะไรจากการดูอดีต
เรื่องราวดี ๆ ในอดีตทำให้เรามีความสุขได้แค่ไหน ดวงดาวก็บันดาลให้เราได้แค่นั้น
ถ้าแอบนิ่งดูดาย ก็อดนั่งดูดาว
เป็นไงบ้างครับ สำนวนการเขียนของ "ทรงกลด บางยี่ขัน" สะกดใจให้เราได้คิดตามบ้างหรือไม่ การใช้ภาษา มุขเล็ก ๆ ที่ค่อยสอดแทรก ทำให้งานเขียนเล่มนี้อีก ๙๙ ความเรียงก็ย่อมน่าติดตามอ่านเช่นนั้น
อีกแง่มุมหนึ่งที่ผมจะได้จากประโยชน์ของหนังสือเล่มนี้ก็คือ การฝึกฝนการเขียนให้ดียิ่งขึ้นจากตัวอย่างความเรียงในหนังสือเล่มนี้
บุญรักษา ทุกท่านครับ ;)...
...........................................................................................
ขอบคุณหนังสือดี ๆ ...
ทรงกลด บางยี่ขัน. โปรดอ่านใต้แสงเทียน เพราะผมเขียนใต้แสงดาว. กรุงเทพฯ : อะบุ๊ก, ๒๕๕๕.
ลึกซี้งน่าคิดมาก ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ..
สะกดคนให้อ่านต่อได้จริงๆค่ะ จินตนาการล้ำเลิศ...ถ้าเป็นอาหารก็จานเด็ดเลยค่ะ เพราะเริ่มหิวแล้ว ...
น่าสนใจนะคะ กับหนังสือเล่มนี้ค่ะ
สะกดใจ ให้ติดตามอ่าน...รวดเดียวจริงๆค่ะ (เรื่องเดียว..อิอิ)
แค่ชื่อหนังสือ...ก็ดึงดูดความสนใจมากมายแล้ว
เล่มนี้... คงขายดีอีกเป็นแน่แท้ :)
ขอบคุณมากค่ะ
อ้อ...ตะกี้ เผลอหงายมือขวามาดู
... ไม่มี "ฤดูดาว" ที่ว่าเลยนิ :)
เริ่มข้างแรมแล้ว ไม่นานเดือนลาลับ
อาจารย์วัตคงมีโอกาส...ท่องชมดาว...แจ่มจรัส...
เขียนความเรียงใต้แสงดาวบนดอยมาให้อ่านกันเนาะ
ขอบคุณพี่ใหญ่ นาง นงนาท สนธิสุวรรณ ที่เข้ามาเยี่ยมบันทึกครับ ;)...
หากพี่ Bright Lily อยู่เมืองไทย ลองไปร้านหนังสือใหญ่ ๆ ดูนะครับพี่
ขอบคุณมากครับ ;)...
สงสัยว่าจะฝึกอีกนานครับ คุณ Tawandin ;)...
ขอบคุณมากครับ ;)...
"ธรณีนี่นี้ใครครอง" ... จบบริบูรณ์ไปแล้วครับ อาจารย์นพลักษณ์ ๙ Sila Phu-Chaya ;)...
เดี๋ยวไปหาดาวก่อนครับ อิ อิ
น่าติดตามนะคะ หนอนหนังสือ แนะนำแบบนี้ ต้องหามาอ่าน...ให้ได้เลย
พี่ ♥อุ้มบุญ♥ ให้เกียรติเป็น "หมูหนังสือ" เอ้ย "หนอนหนังสือ"
ขอบคุณมากครับ ;)...
"โปรดอ่านใต้แสงเทียน เพราะผมเขียนใต้แสงดาว" ร้อยเรียงคำได้สวยงาม....โดดเด่นในกาแล็กซี่ทางช้างเผือกเลยค่ะ
เช่นนั้นเลยครับ คุณครูนก noktalay ;)...
สำนวนเหลือร้ายค่ะ แต่อ่านแล้วมึนนิดๆ เห็นดาวระยิบระยับ หรือว่าเริ่มมีอาการ Doa syndrome อิๆ
v_V เผื่อคุณหมอบางเวลา ป. ใช้อ่านเอาเรื่องครับ ;)...
อ่านแล้วนึกถึงสมัยเป็นนักศึกษา เรียนดาราศาสตร์ อาจารย์พาไปดูดาว มีไฟฉายส่องทุกคน ที่สนาม หน้าหอพัก สนุกดีครับ จำได้ว่า มีสามเหลี่ยมฤดูหนาว มีมากชื่อกลุ่มดาว แต่เดี๋ยวนี้จำชื่อดาวไม่ได้ ครับ...สวัสดีครับ
คงอีกหลายสิบปีกว่าจะอ่านจบครับ คุณ ชลัญธร ;)...
อ่านไปได้ ๑ ตอนแล้ว เหลืออีก ๙๙ ตอน แค่นั้นเอง อิ อิ
ขอบคุณครับ ;)...
ขอบคุณมากครับ ท่านอาจารย์ แว่นธรรมทอง ;)...
ขอบคุณค่ะ memory ไว้แล้ว เดี๋ยวหาซื้ออ่านงานสัปดาห์หนังสือค่ะ
เยี่ยมไปเลยครับ kunrapee ;)...
กับความทรงจำที่ดีๆ ก็มีค่ามากกว่าเงินทอง ..จริงอ่ะ เขียนใต้หลอดไฟนีออน ..สะท้อนหน้าจอ กิกิ
ดีมากครับ คุณครูตุ่ม krutoom ;)...
สวัสดีค่ะ
....แค่ชื่อหนังสือ ก็สะกดคนอย่างกิ่งไผ่ซะอยู่หมัดแล้ว....
แต่ถ้าสำหรับกิ่งไผ่คงต้องใช้ว่า "นั่งชมดาวแล้วเขียน โปรดนั่งใต้แสงเทียนแล้วค่อยอ่าน" ^-^
อาจารย์สบายดีนะคะ?
หนังสือเล่มนี้ คุณ กิ่งไผ่ ควรอ่านอย่างยิ่งยวดครับ
เหมาะที่สุด
ช่วงนี้งานเยอะมากมายเช่นเคยครับ
ขอบคุณมากครับ ;)...
สวัสดีคะ...ชอบจังชื่อหนังสือ...:) มันทำใจลอย...และเพ้อจินตนาการได้เหมือนกำลังล่อยลองอยุ่ในความฝัน...:)
เล่มนี้เป็นหนังสือน่าอ่านและทำให้เราเกิดจินตนาการมากมายครับ น้องคุณครู เทียนน้อย ;)...
ขอบคุณมากครับ ;)...
สวัสดีค่ะอาจารย์
สวัสดีครับ คุณยาย มนัสดา ;)...