๒.การมีศรัทธาอย่างแก่กล้าในพระพุทธศาสนา อยากอยู่ในเพศบรรพชิตจนเกิดมีการน้อมใจเชื่อและ กำหนดขันธ์ ส่วนอนาคต ว่าตนจะเป็นนักบวช หรือ น้อมใจเชื่อไปว่า ตนกำลังเป็นนักบวช จะทำหน้าที่นักบวชอย่างไร จะเผยแพร่พระศาสนาอย่างไร มีศีลอย่างไร เป็นต้น แต่เพราะหน้าที่และความรับผิดชอบที่มีในปัจจุบัน ทำให้ไม่สามารถออกจากเพศฆราวาสได้ ไม่สามารถทำ หรือ รักษาศีลอย่างที่น้อมใจเชื่อได้ จึงเกิดความทุกข์ใจ
การน้อมใจเชื่อจนกระทั่งกำหนดขันธ์ส่วนอนาคต เท่ากับเอาความสุขของตนในปัจจุบัน ไปผูกอยู่กับอนาคตที่ไม่แน่นอน และเพราะเป็นความปรารถนาที่ไม่สัมพันธ์กับเหตุปัจจัยในปัจจุบันอันนำไปสู่ทุกข์ จึงจัดเป็นฉันทะที่เป็นตัณหา อันเรียกว่า ตัณหาฉันทะ (ฉันทะ คือ ความพอใจ,ความชอบใจ,ความยินดี, ความต้องการ, ความรักใคร่สิ่งนั้นๆ, ความรักงาน มี ๒ ลักษณะคือ กุศลฉันทะ หรือธรรมฉันทะ ได้แก่ กัตตุกัมยตาฉันทะ คือ ความต้องการที่จะทำหรือความอยากทำ(ให้ดี) และตัณหาฉันทะ คือ ความอยากเสพ, อยากได้, อยากเอาเพื่อตัว ที่เป็นฝ่ายอกุศล)
การกำหนดว่าในอนาคตตนจะเป็นอะไรนี้ น่าจะคล้อยตามการปรารภขันธ์ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้
[๑๑๗] พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต เห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๔๔ อย่าง ข้อนั้น เป็นความเข้าใจของพวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น
ที.สี.(แปล) ๙/๑๑๗/๔๑
[๑๒๙] พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต เห็นคล้อยตามขัน์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆด้วยมูลเหตุ ๔๔ อย่าข้อนั้น เพราะผัสสะเป็นเหตุ
ที.สี.(แปล) ๙/๑๒๙/๔๒
การมีศรัทธาอย่างมากจนทำให้มองเห็นเพศ หน้าที่ ความรับผิดชอบของตน จนถึงมีการปฏิบัติต่อบุคคลรอบข้างผิดไปจากความเป็นจริงโดยสมมติ (สมมติบัญญัตฺ) ผิดไปจากความเป็นจริงนี้ จัดเป็นวิปัสสนูปกิเลส (อุปกิเลสแห่งวิปัสสนา, สภาพน่าชื่นชม แต่ที่แท้เป็นโทษเครื่องเศร้าหมองแห่งวิปัสสนาซึ่งเกิดแก่ผู้ได้วิปัสสนาอ่อนๆ ทำให้เข้าใจผิดว่าตนบรรลุมรรคผลแล้ว จึงไม่ดำเนินก้าวหน้าต่อไปในวิปัสสนาญาณ) ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า อธิโมกข์
วิปัสสนูปกิเลสทั้งหมดมี ๑๐ คือ โอภาส (แสงสว่าง), ปีติ (ความอิ่มใจ), ญาณ (ความรู้), ปัสสัทธิ (ความสงบกายและจิต), สุข (ความสบายกาย สบายจิต) อธิโมกข์ (ความน้อมใจเชื่อ), ปัคคาหะ (ความเพียรที่พอดี), อุปัฏฐาน (สติชัด), อุเบกขา (ความวางจิตเป็นกลาง) และ นิกันติ (ความพอใจ) การเกิดวิปัสสนูปกิเลสขึ้น ทำให้เกิดความลังเล ว่า ทางใดเป็นทางปฏิบัติสำหรับตน ซึ่งตนมักปฏิบัติไปในทางที่ไม่เหมาะกับสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน เช่น ไม่อยากไปสังสรรค์กับเพื่อนที่ไม่ได้พบกันนานหลายปี ไม่อยากให้สามีหรือภรรยาแตะต้องรูปกายตน ไม่กล้าโอบกอดลูกที่เป็นเพศตรงข้าม เพราะเกรงว่าจะผิดศีล หรือ ศีลขาด เป็นต้น การปฏิบัติของตน จึงทำให้ตนถูกมองว่า เป็นคนหลุดโลก นำมาซึ่งความอึดอัดใจของหลายๆฝ่าย รวมทั้งความทุกข์ใจของตนเองด้วย เนื่องจาก เมื่อบุคคลรอบข้างเป็นทุกข์ ตนจะอยู่เป็นสุขในสภาพแวดล้อมอย่างนั้นได้อย่างไร
ในคัมภีร์วิมุตติมรรค ได้ให้ความหมายของศีลไว้ว่า
"ศีลมีความหมายว่าอะไร ? ศีลหมายถึงเย็น ดีเลิศ การกระทำ ปกติและสภาพปกติตามธรรมชาติของทุกข์และสุข อนึ่ง ศีลหมายถึงศีรษะ ความเย็นและสันติ"
พระอุปติสสเถระ วิมุตติมรรค หน้า ๙
อันอธิบายความไม่ปกติของวิถีชีวิตอันเกิดจากการปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องกับปัจจุบันธรรม ว่าจัดเป็นศีลหรือไม่
ซึ่งหากผู้ได้ทราบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงวิปัสสนูปกิเลส เลิกยึดมั่นในสภาพที่น่าชื่นชมนั้น ก็จะพบทางปฏิบัติที่เหมาะกับตน ผ่านวิสุทธิข้อที่ ๕ คือ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องรู้เห็นว่าทางหรือมิใช่ทาง แน่วแน่ในวิธีปฏิบัติที่เหมาะสำหรับตน สำหรับเพศของตนต่อไป
ขอบคุณดอกไม้จากทุกท่านค่ะ