สถานีความคิด :
หลังวันก่อนในหมู่บ้านแม่ตาดมีคนเสียชีวิตลงด้วยโรคชรา ท่ามกลางความโศกเศร้าของลูกหลานและญาติพี่น้อง โดยลูกหลานได้ทำการบำเพ็ญกุศลให้กับผู้ล่วงลับเป็นเวลา 2 คืน 3 วัน ด้วยกัน ซึ่งผมมีโอกาสได้เข้าไปช่วยดูแลการจัดงานศพตลอดงาน รวมทั้งในช่วงสุดท้ายตอนที่มีการแห่ศพไปทำพิธีฌาปนกิจที่ป่าช้าของบ้านแม่ตาดด้วย
ในช่วงที่มีการทำพิธีกรรมทางศาสนาอยู่นั้น บรรดาลูกหลานและญาติพี่น้องของผู้ตายต่างก็อยู่ในอาการโศกเศร้าอย่างหนัก จนทำให้ชาวบ้านหรือแขกที่ไปร่วมงานพลอยรู้สึกโศกเศร้าตามไปด้วย
ท่ามกลางบรรยากาศที่สุดแสนจะโศกเศร้านั้น มองไปบนท้องฟ้านกนางแอ่นกำลังบินถลาโฉบเหยื่อ ผีเสื้อสีสวยหลายสิบตัวกำลังตอมดอกไม้ที่มีคนเอามาวางไว้เพื่อไว้อาลัยที่หน้าโลงศพ ในขณะที่ตัวผมเองนั่งเพ่งมองไปที่เชิงตะกอนและพิจารณาสรรพสิ่งอย่างนิ่งสงบ
ชีวิตดูเหมือนจะมีความรู้สึกสงบ เย็น มีพลัง และเกิดปัญญามากขึ้น ถ้าหากว่าเราได้มีโอกาสในการผ่อนคลาย ปล่อยวางจากภาระหน้าที่ และนั่งพิจารณาไตร่ตรองมองตนเสียบ้าง
ผมมองไปที่เชิงตะกอนซึ่งมีร่างอันไร้วิญญาณร่างหนึ่งนอนทับอยู่บนนั้น และเริ่มคิดหาที่มาที่ไปของชีวิต พร้อมกับตั้งคำถามว่าชีวิตคืออะไร เรามาจากไหน กำลังจะเดินทางไปสู่ที่ใด อะไรคือแก่นสาระของชีวิต อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริง ที่ผ่านมาเราได้ทำหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบสมบูรณ์ดีพอหรือยัง เราได้เอาใจใส่ต่อตนเองและดูแลห่วงใยคนรอบข้างมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้เพื่อที่จะแสวงหาคำตอบที่ถูกต้องทั้งหมดให้แก่ชีวิต
โลงศพที่ตั้งอยู่ข้างหน้า เป็นเครื่องเตือนใจให้ผมได้เรียนรู้และเข้าใจถึงสัจจธรรมของชีวิต ซึ่งมีการเกิดขึ้น ดำรงอยู่ชั่วคราว และในที่สุดก็จักต้องดับสิ้นลงไป ดุจดั่งดอกกุหลาบสีสวย ที่มีการผลิดอก เบ่งบาน แล้วก็เหี่ยวแห้งร่วงโรยลงไปในที่สุด ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ ที่ดำรงอยู่อย่างนี้ตราบนิจนิรันดร์
เชิงตะกอนเบื้องหน้าเป็นสัญญลักษณ์ที่ทำให้ผมและทุกๆ ชีวิต ควรที่จะระลึกถึงสาระแห่งชีวิต ว่าในขณะที่เรายังคงมีชีวิตและลมหายใจอยู่นั้น เราควรที่จะดำเนินชีวิตอย่างไร เราควรที่จะมีท่าทีต่อชีวิต โลก สังคม และสรรพสิ่งอย่างไร และควรที่จะทำอะไรบ้างเพื่อรังสรรคุณค่าและความงดงามให้เกิดขึ้นแก่ตนเองและผู้อื่น
หากเราได้มีโอกาสพิจารณาถึงสภาพความเป็นไปของชีวิต เราก็จะได้ทราบและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า ชีวิตทุกชีวิตไม่มีความแตกต่างใดๆ ไม่ว่าจะเป็นคนดีคนเลว ร่ำรวยหรือยากจน สูงต่ำหรือดำขาว ชายหรือหญิง เด็กหรือคนชรา ทุกๆ คนล้วนกำลังก้าวเดินไปสู่หนทางข้างหน้า คือเชิงตะกอนหรือเมรุเผาศพ อันเป็นจุดหมายปลายทางของทุกชีวิต ซึ่งไม่ว่าใครจะอยากหรือไม่อยากก็ต้องไป
เมื่อชีวิตเป็นเช่นนี้ ในทุกๆ ช่วงเวลาของชีวิต เราจึงควรที่จะแสวงหาคุณค่าและเพิ่มความหมายให้กับตนเอง โดยการหมั่นกระทำแต่ในสิ่งที่ถูกต้อง แบ่งปันความรักความเมตตาให้แก่กัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ละวางจากความเห็นแก่ตัว หยุดการกอบโกยเพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตนอย่างหน้ามือตามัว และหยุดเบียดเบียนหรือทำร้ายซึ่งกันและกัน เพราะเราต่างก็มีเลือดเนื้อและมีชีวิตจิตใจเช่นเดียวกัน
หากเรามองชีวิตและสรรพสิ่งโดยความเป็นปรากฏการณ์ที่มีการเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไปเป็นธรรมดาตามหลักของธรรมชาติอย่างนี้ บางทีอาจจะทำให้เรารู้สึกสบายใจขึ้น รู้จักการปล่อยวางภาระและความหนักหน่วงที่แบกอยู่บนบ่าลงได้ ซึ่งจะทำให้ชีวิตมีความสุขความสบาย และโปร่งเบา รวมทั้งทำให้มีจิตใจที่เมตตาอ่อนโยนและเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น อันเนื่องมาจากการละวางจากการยึดมั่นถือมั่นในเรื่องราวทั้งหลาย
ในความเป็นจริงแห่งชีวิต เราทุกคนต่างก็มีความทุกข์ติดตัวมา ทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราแต่ละคนมีอยู่แล้ว ก็คือการแบกรับภาระอันหนักหน่วงที่เกิดจากขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งเพียงแค่นี้ก็หนักมากอยู่แล้ว การดิ้นรนแสวงหาทุกข์อย่างอื่นจากภายนอกมาให้ชีวิตเพิ่มขึ้นอีกโดยไม่จำเป็น จึงมิใช่สิ่งที่เราควรจะแสวงหามาใส่ตัวอีกแต่อย่างใด
การมองโลกในแง่ดี การมองสรรพสิ่งด้วยสายตาที่เมตตาอ่อนโยนและเรียบง่าย การดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท การรู้จักเคารพในศักดิ์ศรีของความมนุษย์ การเปิดใจให้กว้างยอมรับความคิดเห็นจากผู้อื่น และการหมั่นศึกษาไตร่ตรองมองตนอยู่เสมอๆ ถือเป็นวิธีที่จะช่วยทำให้เราเข้าใจชีวิตและโลกมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ความสงบสุขแห่งชีวิต
วันนั้น เมื่อพิธีฌาปนกิจศพเสร็จสิ้นลง ก่อนเดินทางกลับบ้าน ผมได้ลุกขึ้นและยืนไว้อาลัยแก่ดวงวิญญาณที่กำลังนอนนิ่งอยู่บนเชิงตะกอนและไฟกำลังลุกไหม้อย่างโชติช่วง
ผมขอบคุณต่อวิญญาณดวงนั้น ที่ได้สอนให้มองเห็นความจริงแห่งชีวิตชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยจะเก็บงำข้อคิดดีๆ เหล่านี้เอาไว้เป็นมรณานุสติ
พร้อมทั้งจะระลึกอยู่ในใจเสมอว่า...... หนทางข้างหน้า คือ เมรุเผาศพ
เรื่องนี้ คือ ความจริง ที่ทุกคน จะได้รับเป็น มรดกในวันข้างหน้า ไม่มีใคร "ไม่ได้รับอย่างแน่นอน"
ขอบคุณมากค่ะที่เตือนสติ
สวัสดีครับ คุณ Somsri
* "อวัสสัง มะยา มะริตัพพัง เราทั้งหลายจะพึงตายอย่างแน่แท้"
เป็นพระพุทธวจนะที่เป็นอมตะจริงๆ นะครับ
** ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมและให้กำลังใจอย่างสม่ำเสมอ
สวัสดีครับ คุณสามสัก(samsuk)
หากเรามองเห็นเรื่องนี้เป็นสัจธรรมแห่งชีวิต
ก็จะทำให้ชีวิตของเราสงบ เย็น และมีความสุขขึ้นเยอะเลยนะครับ
สาธุ ความจริงที่หนีไม่พ้น
ชีวิตจริง ฉากสุดท้ายต้องตายทุกคน
พญ อมรา มลิลา
กราบนมัสการครับ ท่าน Nitipat
เชิงตะกอน คือที่พักผ่อนแห่งสุดท้ายของชีวิต
เมื่อถึงเวลา....ไม่ว่าเราจะอยากหรือไม่อยาก สุดท้ายเราก็ต้องไปที่นั่นอยู่ดีนะครับ
สวัสดีครับ คุณ คนไกลบ้าน
ความตายเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตนะครับ
มรณานุสติ เป็นสิ่งที่เราควรระลึกถึงให้มากที่สุด
เพื่อช่วยให้เรามีสติและไม่ประมาทในการใชีวิต
สวัสดีครับ คุณมะเดื่อ
* ผมขอร่วมแสดงความเสียใจกับคุณมะเดื่อด้วยนะครับ ที่เพิ่งสูญเสียน้องชายไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
** อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ สัจจธรรมของชีวิตนะครับ
สวัสดีครับ คุณ nui
* การไปร่วมงานศพ หากเรารู้จักใช้โอกาสนี้ในการไตร่ตรองมองตน ก็จะทำให้เราเข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้นนะครับ
** ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะเข้ามเยี่ยมและร่วมแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
สัจธรรมชีวิต
สวัสดีครับ คุณ kunrapee
มันเป็นสัจจธรรมของชีวิตนะครับ
สักวันหนึ่งก็คงจะถึงคิวของเรา
ไม่ว่าเราจะอยากหรือไม่อยากไป
สุดท้ายก็ต้องไปอยู่ดีนะครับ
สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ ยินดีด้วยค่ะที่ท่านได้พบสัจธรรมของชีวิตและโลกใบนี้