2) ไบโอมป่าผลัดใบในเขตอบอุ่น (temperate deciduous forest
biome)
มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 100 เซนติเมตรต่อปีและมีอากาศค่อนข้างเย็น
พบไม้ต้น ไม้พุ่ม รวมถึงพืชล้มลุก ซึ่งต้นไม้จะผลัดใบก่อนถึงฤดูหนาว
และ จะเริ่มผลิใบอีกครั้งหลังฤดูหนาว
3) ไบโอมป่าสน (coniferous forest biome)
ลักษณะภูมิอากาศมีฤดูหนาวค่อนข้างยาวนาน อากาศเย็นและแห้ง
มีต้นไม้เขียวชะอุ่มตลอดปี พืชเด่นที่พบ ได้แก่ พืชจำพวกสน เช่น
ไพน์ เฟอ สพรุซ เฮมลอค เป็นต้น
4) ไบโอมทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น (temperate grassland biome)
สภาพภูมิอากาศมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 25 – 50 เซนติเมตรต่อปี
ดินมีความอุดมสมบูรณ์สูง มีหญ้านานาชนิด เหมาะกับการทำ
การกสิกรรมและปศุศัตว์
5) ไบโอมสะวันนา (savanna biome)
ลักษณะภูมิอากาศร้อน พืชส่วนใหญ่เป็นหญ้าและมีต้นไม้ขึ้นกระจาย
เป็นหย่อมๆ ในฤดูร้อนมักมีไฟป่าเกิดขึ้นอยู่เสมอ
6) ไบโอมทะเลทราย (desert biome)
มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยน้อยกว่า 25 เซนติเมตรต่อปี ทะเลทราย
บางแห่งร้อนมากมีอุณหภูมิเหนือผิวดินสูงถึง 60 องศาเซลเซียส
ตลอดวัน บางแห่งค่อนข้างหนาวเย็น พืชที่พบมีการป้องกันการสูญเสีย
น้ำโดยใบลดรูปเป็นหนาม ลำต้นอวบสะสมน้ำ เช่น กระบองเพชร
7) ไบโอมทุนดรา (tundra biome)
มีปริมาณน้ำฝนน้อยมาก ลักษณะมีฤดูหนาวค่อนข้างยาวนาน
ฤดูร้อนช่วงสั้นๆ ชั้นของดินที่อยู่ต่ำจากผิวดินชั้นบนลงไปจะจับตัวเป็น
น้ำแข็งอย่างถาวร พบพืชและสัตว์อาศัยอยู่น้อยชนิด พืชที่พบเป็น
ไม้ดอกและไม้พุ่ม พบสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ เช่น ไลเคน ด้วย
2. ไบโอมในน้ำ (aquatic biomes) ประกอบด้วย ไบโอมแหล่งน้ำจืด และ ไบโอมแหล่งน้ำเค็ม
1) ไบโอมแหล่งน้ำจืด (freshwater biome)
ประกอบด้วยแหล่งน้ำนิ่ง เช่น สระ หนองหรือบึง และทะเลสาบ
กับแหล่งน้ำไหล ได้แก่ ลำธาร และแม่น้ำ เป็นต้น
2) ไบโอมแหล่งน้ำเค็ม (marine biome)
ประกอบด้วยทะเลสาบ ทะเล และมหาสมุทร พบในปริมาณมาก
ถึง ร้อยละ 71 ของพื้นผิวโลก มีปัจจัยทางกายภาพที่แตกต่าง
จากแหล่งน้ำจืดคือ น้ำขึ้น น้ำลง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.gotoknow.org/blogs/posts/493734
เรียนอาทิตย์หน้านะครับ วันที่ 31 ครับ