"บ้าน" ของจิตใจ...



วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่คณะกรมประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทยได้เข้ามาพากันประพฤติปฏิบัติธรรม ทุกคนดีมากตั้งใจดีมาก อย่างนี้แหละทำดีทำถูกต้อง เมื่อพวกท่านทั้งหลาย ได้มาประพฤติปฏิบัติ พระพุทธเจ้าท่านให้โยมกรมประชาสัมพันธ์นำธรรมะไปประพฤติปฏิบัติ ที่บ้านที่ทำงาน ทุกคนมีบ้านพักอาศัยทางร่างกาย และมีความจำเป็นที่จะต้องมีบ้านพัก ทางจิตใจ เพราะความสบายที่แท้จริงมันอยู่ที่จิตใจของเราสงบ จิตใจของเรามีบ้านพักอาศัย กลับไปบ้านไปที่ทำงานไปสร้างบ้านพักทางใจให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป


ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดมาล้วนแต่มีเหตุมีปัจจัย คนเราถึงไม่เหมือนกัน อาศัยกรรม อาศัยการกระทำเป็นแดนเกิด เป็นเผ่าพันธุ์ เป็นสิ่งที่ต่อเนื่องมาจากการกระทำ ทุกท่านทุกคน ถึงมีที่อยู่ที่อาศัย มีธรรมะเป็นที่อาศัยของใจ มีบ้านมีที่อยู่เป็นที่อาศัยของกาย


ทุกท่านทุกคนต้องมีที่อยู่ ถ้าคนไม่มีบ้านไม่มีที่อยู่ก็กลายเป็นคนเร่ร่อน ก็กลายเป็นคน ไม่มีที่พักอาศัย กายก็ต้องมีที่อยู่ ใจเราก็ต้องมีที่อยู่ คนเราจะว่างงานไม่ได้ ถ้าว่างงานแล้ว มันก็ไม่มีทรัพย์สินเงินทองบ้านอยู่อาศัย จิตใจของเราถ้าไม่มีธรรมะมันก็ไม่มีความสุขความสงบความร่มเย็น


อย่างตัวของเราเองนี้ กายกับใจต้องอยู่ด้วยกัน ถ้าใจของเราไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มันก็ไม่สงบให้อยู่กับการกับงานอยู่กับการกระทำของเรา หรืออยู่กับการหายใจเข้าให้มันสบาย อยู่กับการหายใจออกให้มันสบาย ถ้าใจกับกายมันอยู่ด้วยกัน มันก็มีสมาธิ มันก็มีความสุข


ใจของเรานี้มันชอบส่งออกไปทางภายนอก ชอบท่องเที่ยว มันไม่อยู่กับบ้าน บ้านของใจ ก็คือร่างกายของเรานี้เอง มันชอบไปเที่ยวโน้นเที่ยวนี่จนติดนิสัย พยายามฝึกตัวเองให้ใจ อยู่กับเนื้อกับตัวอย่าส่งออกข้างนอกบ่อยนะ ฝึกจิตใจให้อยู่กับเนื้อกับตัวสติสัมปชัญญะ จะได้สมบูรณ์ ใจจะได้สงบใจจะได้เย็น ไปเที่ยวบ่อย ๆ เดี๋ยวมันจะได้รับอันตราย เดี๋ยวมันจะรับเอาทุกข์มาใส่ตัวเอง

 


เดี๋ยวก็ไปรักคนโน้น เดี๋ยวก็ไปเกลียดคนนี้ มีความเป็นอยู่อย่างนี้ ใจของเรา มันจะเป็นอย่างนี้เป็นส่วนใหญ่ “วัน ๆ หนึ่งมีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันไม่ได้มีความหยุดความเย็น”


ครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้าท่านให้เรากลับมาหาตนเอง มามีสติสัมปชัญญะ ให้มันสมบูรณ์บ้าง รู้จักท่องพุทโธ ๆ ในจิตในใจ ใจมันจะได้มีสติ ให้ใจมันมาอยู่กับเนื้อกับตัว อยู่กับการกับงาน ถ้าเราไปปล่อยใจของเราคิดไปเรื่อยเปื่อย เราไม่ได้อยู่กับตัวเอง ไม่ได้อยู่ กับงานที่กำลังทำอยู่ จิตใจของเรามันก็ร้อน จิตใจของเราก็ไม่สงบ หาความสุขไม่ได้ เป็นการใช้ระบบสมองมากเกินไป ทำให้เราเป็นโรคเครียด “ทำให้เราเป็นโรคขาดสารความสุข” มันไปมีระบบขัดแย้งในจิตในใจ


ใจของเรามันเป็นนักรบนักต่อต้าน รบกับตัวเองรบกับคนอื่น ใจของเรามันไปรบบุคคลอื่น เราดูตัวอย่างประเทศเค้าที่มีสงครามกันมันไม่สงบ เราดูพวกที่เดินขบวน เดินขบวนนั่งขบวน มันไม่สงบ จิตใจของเราก็เหมือนกันมันเป็นนักรบนักต่อต้านนักเดินขบวนมันเลยไม่สงบ ความคิดอย่างนี้มันหาเรื่องทุกข์ให้กับตัวเองเปล่า ๆ เน๊อะ คิดอยากให้มันรวยมันก็ไม่รวยหรอก คิดอยากให้อย่างโน้นมันเป็นอย่างนี้มันก็ไม่เป็น มันหาเรื่องให้ตัวเองเปล่า ๆ


ครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้ทีฆนขพราหมณ์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทีฆนขพราหมณ์มีความเห็นเป็นอย่างไรบ้าง ทีฆนขพราหมณ์ตรัสตอบพระพุทธเจ้าว่า สิ่งไหนข้าพเจ้าชอบข้าพเจ้าก็จะเอา สิ่งไหนข้าพเจ้าไม่ชอบข้าพเจ้าก็ไม่เอา พระพุทธเจ้าเมตตาตรัสตอบว่า ความแก่ความเจ็บความตาย ความพลัดพรากทีฆนขพราหมณ์ชอบมั๊ย ทีฆนขพราหมณ์ตอบว่า ไม่ชอบพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า ไม่ชอบน่ะพราหมณ์จะได้รับมั๊ย ทีฆนขพราหมณ์ ตอบว่า ได้รับพระเจ้าข้า


คนเราน่ะส่วนมากมันหาเรื่องทุกข์ให้กับตัวเองด้วยการคิดผิด ทุกท่านทุกคนมีความจำเป็น ต้องพัฒนาความคิดความเห็น สิ่งไหนมันจะเป็นทุกข์โดยเปล่าประโยชน์เราก็อย่าไปคิดมัน


ความคิดของเรานี้ มันทำให้เราผลิตสารที่มันไม่ดีให้กับร่างกาย พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรามีธรรมะเป็นเครื่องอยู่ มีความคิดมีอารมณ์ที่ดี ๆ เป็นธรรมะโอสถ
อย่างเราเห็น เราได้ยินในสิ่งที่มันไม่ดี เราก็น้อมนำมาใส่ใจให้เป็นคติว่าสิ่งเหล่านี้มันมีขึ้น ก็ดีเหมือนกัน ถ้าไม่มีแล้วเราก็จะไม่รู้ เราก็จะไม่เห็น ดังนั้นความคิดของเรามันเป็นยารักษาโรคทางกายแล้ว มันก็เป็นยารักษาโรคทางใจได้


มันต้องมีสิ่งที่เปรียบเทียบเพื่อให้เราได้พัฒนาตนเอง ถ้ามันมีดีไปหมดเราก็ไม่รู้ว่าอันไหนมันไม่ดี มันต้องมีทั้งดีทั้งไม่ดี ให้เราเห็นเราจะได้เกิดสติ เกิดสมาธิ เกิดปัญญา


คนเรานี้ส่วนใหญ่ไม่ยอมรับความจริง ยังมีความคิดเห็นผิด ๆ อยู่ คือไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ไม่อยากพลัดพราก มีความคิดเห็นอย่างนี้กัน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ คนเรานี้มันต้องแก่ มันต้องเจ็บ มันต้องตาย มันต้องพลัดพรากแน่นอน อยากจะให้มัน ว่างจากความไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันเป็นไปไม่ได้ แล้วก็มานั่งคิดเดินคิดนอนคิดอยู่อย่างนั้น มาต่อต้านอยู่อย่างนี้ มีจิตใจที่ต่อต้านขัดแย้งอยู่อย่างนี้ตลอด


อยากร่ำอยากรวย แต่ขี้เกียจไม่อยากทำงาน อยากพบอยากเจอแต่สิ่งที่ดี ๆ แต่ขี้เกียจ ไม่อยากขวนขวาย ไม่อยากสร้าง


จิตใจของคนเรานี้ มันล้วนแต่ตั้งอยู่ในความเห็นที่ไม่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ยังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่มาก


อยากไปพระนิพพานก็อยากไป ก็ว่าพระนิพพานดี แต่ไม่อยากรักษาศีล ไม่อยากปฏิบัติธรรม รักษาศีลห้าก็กลัว รักษาศีลแปดก็ยิ่งกลัว รักษาศีล ๒๒๗ ก็ยิ่งกลัวไปอีก


กลัวในสิ่งที่มันดี สิ่งไหนที่มันไม่ดีไม่กลัวนะ คนเรานี้ เหตุผลมันมีมากเหลือเกิน มันเถียงพระพุทธเจ้าในใจฉอด ๆ เพราะเหตุนั่นเหตุนี่ สารพัดเหตุที่จะเอามาเถียง มันกลัวความดี กลัวศีลกลัวธรรม มันกลัวที่จะริดรอนสิทธิ กลัวที่จะริดรอนอิสรภาพของกิเลส ราคะ ตัณหา อุปาทาน


ความกลัวอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นอาการทางจิตที่อสุรกายมาสิงอยู่ในจิตในใจ อสุรกายนี้มันกลัวความดี กลัวทำดี


เราจะหนีความจริงไปไหน มันหนีไม่ได้


พระพุทธเจ้าท่านให้เรามาแก้ที่จิตที่ใจ ว่าใจของเรามีความคิดความเห็นที่ผิด แล้วก็ทำผิดพูดผิดนั่งสมาธิมันก็จะเอาแต่ความสงบ เอาไม่ปวดแข้งปวดขา


ความเป็นจริงแล้วถ้าเราอยากให้มันสงบ มันไม่สงบ เพราะมันเป็นความอยาก เป็นนิวรณ์ เป็นความโลภ


ถ้าเราไม่อยากให้ปวด มันก็ยิ่งปวด มันยิ่งทุกข์ทางกายทุกข์ทางใจเป็นสองเท่า
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าถ้าเราต้องการความสงบ เราก็อย่าไปวุ่นวายมาก เรามีหน้าที่หายใจเข้าให้มันสบาย หายใจออกให้มันสบาย รู้ลมเข้ารู้ลมออกให้มันสบาย มีความสุขกับการหายใจเข้าให้มันสบาย มีความสุขกับการหายใจออกให้มันสบาย เราทำอย่างนี้จิตใจเราก็มีสมาธิขึ้นเอง มันก็สงบของมันเอง


นี่เราเริ่มนั่งสมาธิแล้ว เราก็เริ่มขุดหลุมฝังตัวเองแล้วสร้างปัญหาให้ตัวเอง สร้างความทุกข์ ให้ตัวเอง สมาธิแปลว่าเสียสละ สมาธิแปลว่าไม่มีความโลภความโกรธความหลง เป็นสิ่งที่ปราศจากตัวตน เป็นสิ่งที่ปราศจากนิวรณ์


สมาธิเป็นบ้านที่อยู่อาศัยของใจ ใจมันต้องมีบ้าน บ้านคือสมาธิ เพราะใจมันวิ่งทั้งวัน ทำงานทั้งวัน เรามาเปิดโอกาสให้ใจมันได้พักได้ผ่อนบ้าง ถ้าเรามีสมาธิ เราก็มีธรรมะโอสถ บำรุงซ่อมแซมสุขภาพร่างกาย ลดความเครียด เราก็จะไม่เป็นโรคเครียด ไม่เป็นโรคกระเพาะ ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นโรคจิต มันเป็นธรรมะโอสถ


บางคนต้องใช้ต้องอาศัยยา อาศัยเภสัช เพราะว่าเคมีในร่างกายของเรามันเปลี่ยน


อารมณ์ เยื่อใยต่าง ๆ ทำให้จิตใจของเรากระทบกระเทือน ความผิดหวังในความรัก ความผิดหวังในสิ่งที่ไม่ได้ตามความต้องการตามปรารถนามันทำให้เป็นโรคทางกาย


แต่คนเราส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ตัวเอง ไม่ได้รีบแก้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่ได้รีบรู้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ปล่อยให้มันเป็นเรื่องใหญ่ไป คนที่มันยังไม่เป็นโรคเครียดก็ต้องระวังไว้ก่อน เพราะปัญหาข้างหน้า สิ่งที่ไม่พึงปรารถนามันย่อมเกิดขึ้นกับพวกเราทุก ๆ คนแน่นอน


พระพุทธเจ้าท่านให้เราฝึกคิดไว้ก่อน กระตุ้นเตือนใจของเราไว้ตลอดเวลา


พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราชะล่าใจ ให้พัฒนาความดีของเราสามอย่าง ก็คือเป็นคนใจดี มองทุกอย่างให้มันเป็นดีไปหมด กระทำทุกอย่างให้มันดี ให้มันดีหมด ไม่ว่าอะไร ๆ ก็ทำให้มันดีหมด พูดอะไร ๆ ทุกอย่างก็พูดให้มันดีหมดนะ ดีสามอย่าง เพราะความดีสามอย่างนี้มันเป็น ชีวิตจริงของเรา ที่เราต้องดำเนินต่อไป เป็นการปรับปรุงใจของเราเอง เป็นการปรับปรุงการกระทำของเราเอง เป็นการปรับปรุงคำพูดของเราเอง ถ้าเราทำอย่างนี้คือพระที่แท้จริง ในตัวเรา


เราเป็นคนดีทุกคนก็รักเคารพนับถือเรา ตัวเราเองก็รักเคารพนับถือเราเอง เราไม่ต้อง ไปหาพระนิพพานไกลหรอก พระนิพพานมันอยู่สามอย่างนี้แหละ ชีวิตก็จะเป็นชีวิตที่สงบ ก็จะเป็นชีวิตที่เย็น ก็จะเป็นชีวิตที่สบายจริง ๆ ถ้าเราทำอย่างนี้ชีวิตของเราก็จะเปลี่ยนแปลง ไปในทางที่ดี แต่ก่อนเราเป็นคนเครดิตไม่ค่อยดี ที่นี้แหละเครดิตมันก็จะดีขึ้นนะ


โอวาทพระปาฏิโมกข์ของพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า การทำความดีให้ถึงพร้อม คือการไม่ทำบาปทั้งปวง ถ้าเราทำอย่างนี้มันไม่ดี มันไม่เจริญมันเป็นไปไม่ได้
เหมือนเด็กถ้าตั้งใจอ่านหนังสือ ท่องหนังสือ เรียนหนังสือ “มันไม่ดี มันไม่เก่ง ไม่ฉลาด มันเป็นไปไม่ได้”


เราไม่ต้องไปคิดอะไรมาก คิดมากก็ไม่ได้อะไร…


พระพุทธเจ้าให้เราทำดีอย่างนี้ ให้เราคิดดีอย่างนี้ ให้เราพูดดีอย่างนี้ มันจะได้ไม่มีปัญหามาก มันจะไม่ได้เรื่องมาก


กรรมคือการกระทำของเรานี้แหละ มันจะส่งผลให้เราไปสู่สุขคติเอง


อย่าไปขี้เกียจมักง่าย ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามโอวาทคำสั่งสอนขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้ไม่มีความคำว่ายากจนและผิดหวัง


เราจะมาเป็นนักวิทยาศาสตร์มีเหตุมีผลอยู่อย่างนั้นไม่มีการประพฤติปฏิบัติ มันจะมีประโยชน์อะไร เรามัวแต่ไปวินิจฉัย เรามัวแต่ไปวิตกวิจารณ์อย่างนี้ไม่ได้ ให้รีบทำให้รีบปฏิบัติ


ยาดีนี้มันเห็นผลช้าหน่อยแต่มันก็ค่อยเป็นค่อยไป แต่ถ้าคุณหมอเขาใช้สเตียรอยด์ ใช้มอฟีน มันหายเร็ว หายเร็วอยู่แต่มันมีอันตราย


การสร้างบารมีให้ทำสม่ำเสมอ เหมือนเราปลูกต้นไม้ ที่มันโล่ง ๆ เราปลูกต้นไม้ เล็กนิดเดียว เราก็ท้อใจว่าเมื่อไหร่มันจะได้ผล เมื่อไหร่มันจะโต เราจะไปคิดท้อใจ


เราอย่าไปคิดอย่างนั้น ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วมันไม่ได้ปลูก “ถ้าเราไปคิดอย่างนั้น มันก็ไม่ได้ปฏิบัติ”


เราถือว่าชีวิตของเรามันไม่สายนะเพราะมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมแสดงว่ามันแก้ไข อะไรไม่ได้ แต่นี่เรายังมีลมหายใจอยู่สามารถแก้ไขได้ สามารถประพฤติปฏิบัติได้


วัดเรานี้ปลูกต้นไม้มาแปดปี แต่ก่อนมันก็เป็นที่โล่งแจ้งเป็นไร่ เป็นป่าข้าวโพด ปลูกแล้วมันก็เป็นอย่างที่เห็น อีกหน่อยก็ใหญ่ก็โต อีกหน่อยมันก็จะเป็นป่าใหญ่ ความดี ความประพฤติปฏิบัติของเรา มันต้องรีบฝึก รีบปลูก รีบดูแลรักษา
ชีวิตของคนเราแป๊บเดียวนะ แป๊บเดียวมันก็แก่ไปแล้ว ยังทำอะไรยังไม่สำเร็จเลย มันก็แก่ไปแล้ว มันก็ล้มหายตายจากกันไปแล้ว ให้รีบพากันปฏิบัตินะ


เรากลับไปบ้าน เรากลับไปที่ทำงานกรมประชาสัมพันธ์ เราก็เอาธรรมะขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปประพฤติไปปฏิบัติ เป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ เป็นมนุษย์สายพันธุ์ขยัน เติมเสต็มเซลล์ให้กับเรา เติมใจดีใจสบาย


การกระทำที่ดี ๆ พูดดี ๆ นำไปประพฤติปฏิบัติที่บ้าน อยู่ในสังคม นำไปประพฤติ ปฏิบัติกัน เพราะอยู่ที่บ้านเราต้องใช้ธรรมะมาก มากเป็นพิเศษ เพราะในวัดนี้มันมีผัสสะมีเครื่องกระทบเพียงเล็กน้อย เราฝึกซ้อมประพฤติไปปฏิบัติไปอย่างดี แต่เวลาเรากลับไปบ้าน กลับไปกรมประชาสัมพันธ์ ถ้าเราไม่ตั้งใจดี ๆ เราจะแพ้ทุกที เพราะว่าเราไม่นำไปประพฤติปฏิบัติ


เราไม่นำไปประพฤติปฏิบัตินี้ไม่ได้นะ เราเจ๊ง เราต้องเอาธรรมะไปใช้ การที่เรามาฝึกประพฤติปฏิบัติที่วัดแล้วเอาไปใช้ที่บ้านที่ทำงานถึงจะคุ้มค่า ชีวิตของเราถึงจะเจริญงอกงาม


เราต้องปฏิบัติธรรมทุก ๆ ที่ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนเราก็ต้องเอาธรรมะออกมาใช้การใช้งาน


ปฏิบัติเป็นแบบอย่างให้กับตัวเอง แล้วก็เป็นตัวอย่างให้กับคนอื่นอีก


ทุกคนเป็นคนที่ประเสริฐนะที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มีโอกาสสร้างความดี ได้สร้างคุณธรรม คือมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ได้แก้ไขปรับปรุง ได้ตัดกรรม ตัดเวร ตัดภพตัดชาติที่มันไม่ดีออกไปจากจิตจากใจ


วันนี้เป็นวันสุดท้ายนะ ญาติโยมจะได้กลับไปบ้าน กลับไปกรมประชาสัมพันธ์ กลับไปทำความดี ความดีนั่นแหละคือพระพุทธเจ้า ความดีนั่นแหละคือพระธรรม ความดีนั่นแหละคือพระอริยสงฆ์จะได้ติดตามเราไปทุกหนทุกแห่ง


ขออำนวยอวยพรให้ญาติโยมทุก ๆ คนมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง มีจิตใจที่แข็งแรง มีสวรรค์มรรคผลนิพพานด้วยกันทุกท่านทุกคน สิ่งที่มันไม่ดีก็ได้หายไปหมดไป ตลอดพ่อแม่ปู่ย่าตายายลูกหลานวงศ์ตระกูล บุญกุศลที่ได้กระทำนี้ส่งถึงเจ้ากรรมเจ้าเวรของคุณโยมทุก ๆ คน ตลอดเทพยดาอารักษ์ปกปักษ์รักษา ทั้งในที่บ้านที่ทำงาน สิ่งที่มันไม่ดีก็ให้มันอันตรธานหายไป ด้วยพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ...



พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย

ให้แก่คณะกรมประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย
วันศุกร์ที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

หมายเลขบันทึก: 493831เขียนเมื่อ 7 กรกฎาคม 2012 05:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 กรกฎาคม 2012 15:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

อ่านบันทึกของอาจารย์แล้ว...ใจของผม....ใจดี..ใจสบายจังครับ....แมกไม้มวลพืช...ภาพแรกสวยงามและสงบมากครับ

ดีใจทุกครั้งที่เห็นผู้คนหันมาปฏิบัติธรรม :):) สำหรับผม ความยากอยู่ที่ ทำอย่างไรให้เราประคองให้มีสติอยู่ เมื่อต้องกลับออกมาในโลก ในสังคม ที่แวดล้อมไปด้วยกับดักทางอารมณ์ของตนเอง

คุณปภังกรค่ะ ขอบคุณค่ะ.. อ่านแล้วคิดตาม สงบและผ่อนคลาย เมื่อมีที่นี่ เวลานี้ "บ้านของจิตใจ" ...จิตใครใจใคร หากฝึกบ่อยๆ คงได้ชัดแจ้ง ทางแห่งความสงบ..ท่ามกลางการดำรงชีวิตประจำวัน :-))

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท