วิชญธรรม
ผศ. ดร. สิริวิชญ์ เตชะเจษฎารังษี

เลียนแบบเนสัชชิก


เนสัชชิกังคะ สมาทานถืออิริยาบถนั่ง-อิริยาบถยืน-อิริยาบถเดินเพียง 3 อิริยาบถไม่อยู่ในอิริยาบถนอน

 

เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา หลังจากไปทำวัตรเย็นกับคุณแม่ ผมก็ตัดสินใจขับรถไปศูนย์ปฏิบัติธรรมเวฬุวัน สาขาขอนแก่น ไม่ได้เตรียมอะไรไปเลยกะว่าจะไม่นอนค้าง กว่าจะเข้าไปถึงก็เกือบ สองทุ่ม เข้าไปแบบลักลอบเล็กน้อย แบบไม่แจ้งเจ้าของสถานที่เขาเลย กิจกรรมเขาทำอะไรบ้างก็ไม่รู้ล่ะ (อาศัยบอกกล่าวท่านในใจ ข้าพเจ้าขอมาปฏิบัติธรรมสักคืนนะครับ ขออนุญาตนะครับ.....ก็ว่าไป....) ใส่ชุดขาวไปถึงก็เดินเข้าห้องฝึกกรรมฐานเลย (สมัยนั้นเคยพาเจ้าลิงไปบ่อยเลยคุ้นกับทางหนีทีไล่)

นั่งได้ถึงประมาณ สามทุ่ม ผู้มาปฏิบัติธรรมในนั้นก็เริ่มทยอยออกจากห้อง ปิดไฟปิดพัดลม (เอาละตู!!) สงสัยเขาจะปิดห้อง ถามตัวเองเอางัยดีว้า....อุตสาห์ขับรถมา ไม่ทันไรต้องกลับซะงั้น... ผมก็ทำทีเดินออกตามเขาไป ที่โน้นเขาจัดโต๊ะเครื่องดื่มให้ผู้มาปฏิบัติธรรมด้วย (สุดยอด!) มีกาแฟ โอวัลติน เนสวิต้า เครื่องดื่มผง เงาะ ลองกอง น้ำร้อน น้ำเย็น ไว้บริการ ฟรี!!! (ครั้งนี้ยังไม่กล้าทานของเขา มี oishi ของเราไปเอง ก็แค่ไปนั่งผสมโรงให้ดูกลมกลืน (ในใจก็นึกว่าเอางัยดีๆ ) สักพักผู้คนก็เดินกลับห้องพักของตนในอาคารนั้น (อาคารที่นี่เหมือนเป็นหอพัก 4 ชั้น แยกชาย หญิง โดยมีห้อง โถงปฏิบัติธรรมใหญ่ๆ อยู่สองห้อง ที่ชั้น 1 และ 2 เขามีการจัดการแบบมืออาชีพมากเลยครับ) พอเดินผมเห็นป้าอุบาสิกากำลังจะเดินออกมาจากห้องปฏิบัติธรรม ผมก็รีบเข้าไปถาม “จะปิดห้องแล้วหรือครับ?”

คุณป้าตอบ “ ยังค่ะ คุณจะอยู่ต่อก็ได้นะค่ะ หลวงพ่อท่านอนุญาตค่ะ”

ยิ้มออกแล้วเรา นึกว่าได้กลับเร็วเสียแล้ว ผมก็เลย เดินเข้าไปจัดแจงเบาะที่นั่ง (มีเบาะนุ่นๆ ให้เลือก 2 แบบ ตามชอบใจ มีพัดลมเย็นๆไว้เปิดไล่ยุงสำหรับผม ที่นี้พร้อมอะไรจะขนาดนั้น ต้องขอชม) ผมเลือกมุมเหมาะๆไว้เรียบร้อย มองไปมองมาห้องโถงใหญ่ๆ มีเราอยู่คนเดียว โอ้....เยี่ยม เพราะผม (รวมทั้งคนที่บ้าน) เป็นพวกเดินจงกรมแบบเดินเร็ว (เร็วในที่นี้คือความเร็วของคนบุคคลปกติทั่วไปนะครับ แต่เมื่อเทียบกับคนที่เดินจงกรม หลายคนผมจะเดินเร็วกว่ามาก) โดยเฉพาะเมื่อเดินจงกรมแบบที่เอาสติไปจับทุกอิริยาบถของการเคลื่อนไหว อย่างวิธีของหลวงพ่อจรัลที่ศูนย์ฯนี้ คือ ยุบหนอ พองหนอ ถ้ามีคนปฏิบัติอยู่ผมจะไปรบกวนสมาธิเขามาก จะทำให้ตัวเองเปิดเผยความเป็น ”แกะดำ” ออกมาได้ แต่ผมก็สบายใจเพราะไม่เช่นนั้นผมต้องฝึกนั่งสมาธิอย่างเดียว เดินไม่ได้

ผมเริ่มฝึกนั่งสมาธิ เมื่อยก็เดินจงกรม ในใจกะว่า “เอาถึงเช้า เลยโทษฐานที่หลวงพ่อพิชัย ดุมาว่า ผมประมาท คือท่านหมายถึง ผมขี่เกียจ ไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรม”  (ผมยังไม่ได้เล่าว่าเมื่อวันศุกร์ก่อนที่ผมจะนอนที่วัดเกิ้ง ผมได้เป็นอาสาสมัครขับรถพาอาจารย์และกัลยาณมิตรไปศูนย์ปฏิบัติธรรมอริยะ บุรีรัมย์มา คือมีอาจารย์ที่คณะท่านได้ปวารณาตัวขอบวชแบบยาวมากกก...กับหลวงพ่อที่นั้น เราจึงถือโอกาสไปเยี่ยม คือแบบว่ายังไม่มีเวลา (= ข้ออ้างของความขี้เกียจ) มาจิ้มดีดเล่าเรื่องราว  เอาเป็นว่าขอติดไว้ก่อน)

ความตั้งใจปฏิบัติ ไฟแรงมาก “ต้องถึงเช้า....ให้ได้” พยายามหยุดเรื่องกังวล ฟุ้งซ่าน ต่างๆ ...... ผลปรากฏว่า ทำได้ถึง แค่เกือบ ตีหนึ่ง อาการง่วง มหาง่วงก็มา นั่งแล้วจะหลับเอา ก็เดิน เดินก็จะไม่ตรงเอาสิทีนี้ ในใจผมก็นึกว่า ยืนยัน “ไม่นอน” (ความจริงแล้ว ผมไม่รู้จะไปนอนห้องไหนมากกว่า มาก็แอบเข้ามา มาก็ดึกแล้ว เดี๋ยวเข้าผิดห้องเขาไม่รู้จัก จะถูก ตืบออกมาสิ   ฮิฮิ...)   

ตีหนึ่งผ่านไป เดินจงกรมก็ไม่ได้ นั่งก็ไม่มีสมาธิ มีแต่สมา..งก แต่ก็ในใจยังยืนยัน “ไม่นอน” เวลาผ่านไปทุกๆสิบห้านาทีก็มองนาฬิกาที (ในห้องนั้นนาฬิกาจะตีทุกสิบห้านาที) ลุ้นไปเลื่อย เมื่อไหร่หนอ จะเช้าหนอออออ ตีสองผ่านไป......เริ่มมีนั่งเล่นบ้าง ชมวิวด้านนอกตอนมืดๆบ้าง...... กลับมานั่งสมาธิใหม่ ตีสามนิดๆ นั่งอยู่หูได้ยินเสียงคนเดิน (บันทึกนี้ไม่ใช่เรื่อง ผี!! นะครับ ไม่ต้องตกใจ) ผมลุกขึ้นดู มีคนตื่นมานั่งดื่มเครื่องดื่มแล้ว ผมนึกได้เขาจะทำวัตร ก็รีบไปล้างหน้าล้าง ด้วยสบู่อาบน้ำที่พี่ผมติดรถไว้ให้นี้แหละ ก็ดีกว่าไม่ล้างเลย เดี๋ยวญาติโยมจะนึกว่าผมเป็น ผีหน้ามัน!! มาหลอก ผมจะเป็นบาปเอา ตี 3:45 เขาเคาะระฆังทำวัตรจริงๆ พอตี 4 ผมก็ทำตัวกลมกลืนเช่นเคย เดินตามญาติโยมกลมกลืนเข้าห้องปฏิบัติธรรมชั้นสอง เตรียมทำวัตรเช้า หลวงพี่พาสวดมนต์ทำวัตรเช้าก็ยังพอไหว แต่มาเริ่มหนักตอนหลวงพี่พาเริ่มเดินจงกรมนี้ละครับ มันกลับมาง่วงอีกรอบ ต้องเรียก พี่ ”สติ” ครับ อยู่กับผมก่อนครับ ล้มตอนนี้เขาจะไม่ให้มาอีกนะครับ พี่ “สติ” เดินไป-กลับ ไม่รู้กี่รอบ หลวงพี่พานั่งสมาธิต่ออีก   “ohhhh...my ...“  ทำให้ต้องอุทานในใจ งานนี้เขานั่งกันนานเลย ส่วนผมไปไม่ลอด ตัวนั้นนิ่งอยู่นะครับเพราะเกรงใจคนข้างๆ แต่ใจนี้ อั๊วไม่ไหวเลี้ยว.... ก็พยายามอดใจจนเสร็จพิธีการ น่าจะประมาณ 6:00-6:30 (ตอนนั้น เวลง เวลา ผมก็ไม่สนใจแล้ว) เขาแยกย้ายไปทำอะไรต่อไม่แน่ใจ แต่ผมกราบพระ ลากลับก่อน 

กลับถึงห้อง อาบน้ำเสร็จ ต้องออกไปทำงานเลย นอนไม่ได้มีงานสอบความก้าวหน้า นศ. 9:00 น. ช่วงบ่ายคิดในใจ คืนวันอาทิตย์นี้ขอไปอีกรอบ แต่ก่อนไปผมขอหลบไปนอนก่อนประมาณ 3 ชม. ตื่นมา (เกือบไม่ทัน) พาคุณแม่ไปทำวัตรเย็น ผมขออนุญาตไปวัดอีกรอบ ได้ไฟเขียวไปได้ อ้าววว...ผมก็ไปอีกรอบ สูตรเดิม แต่คืนนี้ฝนตกทั้งคืน คืนนี้ก็มาง่วงแบบเดิมอีก หนักกว่าเดิม แต่รู้สึกไม่กังวลใจมากเหมือนคืนก่อน สูตรที่พี่ผมเคยสอนว่าการเนสัชชิก จริงๆนั้นเขาจะไม่นอน คือหลังไม่ติดพื้นในกิริยาท่านอน  คราวนี้ผมขอแค่ เนสัชชิกฉบับเลียนแบบไปก่อนนะครับ มีนั่งหลับบ้าง ซักวันหวังว่าคงจะได้ฉบับของแท้นะครับ  สาธุ และ สวัสดีครับ

**********************************************************************************

-เนสัชชิกังคะ สมาทานถืออิริยาบถนั่ง-อิริยาบถยืน-อิริยาบถเดินเพียง 3 อิริยาบถไม่อยู่ในอิริยาบถนอน ส่วนของวัดป่านั้นจะมีวิธีการเพิ่มออกนอกไปจากคัมภีร์อีก คือ ละเว้นการหลับด้วย ซึ่งก็ทำได้ไม่ผิด (มักเรียกการประพฤตินี้ว่าเนสัชชิก)

ไม่มีข้อปฏิบัติที่ตายตัว แล้วแต่ที่ท่านจะ น้อมปฏิบัติครับ โดยรวมแล้ว คือไม่นอน เร่งความเพียรนั่นเอง
เราจะอธิษฐานกี่วัน อันนั้น สุดแท้แต่เราครับ

 Ref:  http://www.ponboon.com/board/index.php?topic=2281.0

หมายเลขบันทึก: 493197เขียนเมื่อ 2 กรกฎาคม 2012 23:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 ตุลาคม 2013 15:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

หุ หุ หุ ไม่ไหวหรอกค่ะอาจารย์ ขอนอนสมาธิล่ะกัน

  • ขอสาธุๆๆด้วยคนครับ
  • ได้ฝึกปฏิบัติด้วย
  • จะรบกวนช่วยลบ spam ข้างบนออกให้หน่อยครับ

ลบ spam ข้างบนออกให้แล้วนะครับ ขออภัยครับ

" หุ หุ หุ ไม่ไหวหรอกค่ะอาจารย์ ขอนอนสมาธิล่ะกัน"

จุดประสงค์จริงๆ ผมต้องการสื่อให้ว่า นักปฏิบัติธรรมตัวจริงเขา ปฏิบัติจริง เราๆก็เป็นแค่ คนที่สนใจมาศึกษาแต่อีกมุมหนี่งลึกๆ ผมอยากชี้ให้เห็นว่า (ชักชวน) การมาปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรเลย

ขอบคุณทุกท่านสำหรับกำลังใจ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี