นักเรียนนักศึกษาหลายคนผู้กำลังเรียนในวิชาภาษาไทยในเรื่องร้อยกรอง มักจะหนักใจเวลาครู-อาจารย์ให้แต่งคำประพันธ์ หลายครั้งที่เปิดเข้ามาในวิชาการ.คอม จะมีกระทู้ขอร้องช่วยแต่งกลอนแปดบ้าง โคลงสี่สุภาพบ้าง หรือคำประพันธ์ชนิดอื่นๆ แม้ในชีวิตจริงๆ ผู้เขียนเองก็ถูกขอร้องให้แต่งอยู่เสมอ บางทีก็จำเป็นต้องช่วยเหลือกันไป ทั้งๆ ที่ครูก็สอน ทำไมนักเรียนจึงแต่งไม่เป็น นี่เป็นปัญหา ที่จะต้องช่วยกันแก้ไข การเรียนการสอนครูก็ต้องอยากให้นักเรียน แต่งได้ ทำได้ แต่วิธีการถ่ายทอดความรู้อาจจะเป็นไปอีกแบบหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็ขึ้นอยู่ที่ตัวนักเรียนนักศึกษาเอง ที่ไม่เห็นความสำคัญ เมื่อไม่เห็นความสำคัญก็ไม่เกิดความรักความพอใจ ขยันหมั่นเพียร หัดแต่ง ลองแต่ง เวลาครู-อาจารย์สอน-บรรยายไปแล้ว ก็ไม่ทบทวน เวลาท่านให้งาน ก็ไปลอกจากที่ต่างๆ มาส่ง หรือขอร้องให้คนที่แต่งเป็นแต่งให้ ครั้งหนึ่งที่ผู้เขียนได้ไปร่วมงานวันภาษาไทยของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง วิทยากรบรรยายเรื่องบทสังวาสในวรรณคดีไทย วิทยากรอ้างเรื่องในลิลิตพระลอ พร้อมทั้งยกบทประพันธ์ประกอบ วิทยากรถามนักศึกษาที่นั่งฟังในที่ประชุมนั้นว่า “ลิลิต” เป็นคำประพันธ์แบบไหน จึงเรียกว่าลิลิต ถ้าใครตอบได้จะให้หนังสือเป็นรางวัล มีนักศึกษาคนหนึ่งพูดสอดแทรกไปว่า “อาจารย์ถามคำถามยากเกินไป เอาง่ายกว่านี้ได้ไหม” ผู้เขียนซึ่งนั่งฟังอยู่ในที่นั้นด้วยก็สลดใจ สลดใจว่านักศึกษาเหล่านี้เรียนเอกภาษาไทยแต่ไม่รู้จริงๆ หรือ ว่าลิลิตเป็นคำประพันธ์แบบไหน จึงเรียกว่าลิลิต แล้วจะไปเป็นครูสอนคนอื่นได้อย่างไร เอาเป็นว่าในที่ประชุมนั้นไม่มีคนตอบ วิทยากรจึงเป็นคนถามเองตอบเอง เรื่องที่เกี่ยวกับร้อยกรองเกี่ยวกับวรรณคดีแค่นี้นักศึกษาภาษาไทยยังไม่ทราบ แสดงว่าขาดความสนใจ จะป่วยกล่าวไปไยถึงเรื่องการแต่งคำประพันธ์
ตามที่ผู้เขียนสังเกตการสอนของครูในโรงเรียน ในการสอนร้อยกรอง ครูจะมีแผนผังให้นักเรียนดู ถ้ากลอนแปด ก็นำผังกลอนแปดมากาง ถ้าเป็นโคลงสี่สุภาพ ก็แผนผังโคลงสี่สุภาพ แล้วก็อธิบายไปตามผัง พูดแล้วก็จบโดยไม่ให้นั่งเรียนท่องจำบทต้นแบบเลย การสอนแบบนี้อาจจะได้ผลดีสำหรับนักเรียนที่มีสติปัญญาดี ความจำดี มีความสนใจ แต่ถ้าเป็นนักเรียนความจำสั้น จะไม่ค่อยได้ผล เลิกแล้วก็ลืม เรื่องการท่องจำร้อยกรองต้นแบบนี้ ถ้าสอนร้อยกรองชนิดใดควรจะให้นักเรียน-นักศึกษา ตัวอย่างร้อยกรองชนิดนั้น แล้วมาท่องให้ครูฟังเป็นกลุ่ม หรือเป็นคู่ๆ ก็แล้วแต่จะกำหนด ร้อยกรองที่เป็นต้นแบบควรเลือกเอา บทที่ไพเราะเป็นที่นิยม หากท่องได้แล้ว จะทำให้นักเรียน-นักศึกษามีแผนผังในใจไปตลอด และยังง่ายต่อการสอนของครูอีกด้วยเวลาอธิบาย สำหรับบันทึกนี้อยากจะพูดถึงเรื่องโคลงสี่สุภาพ ตามที่เห็นสอนกันก็นิยมให้ท่องโคลงในลิลิตพระลอ และนิราศนรินทร์ เพราะสองบทนี้มีเอก-โท ถูกต้องตามผัง ปัญหาหนึ่งก็คือการไม่รู้ความหมายในบทโคลงต้นแบบ เลยทำให้นักเรียน-นักศึกษาผู้ยังใหม่ต่อเรื่องนี้งง ไม่เข้าใจ ดังโคลงบทที่นำมาให้นักเรียนท่องจากลิลิตพระลอที่ว่า
๐ เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
สองเขือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฤาพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ
เมื่อครูให้นักเรียนท่องบทนี้ก็ควรแปลความในบทนี้ให้นักเรียนทราบด้วยว่าแปลว่าอย่างไร นักเรียนจะได้เข้าใจในความหมาย จะได้เกิดความซาบซึ้ง ชวนให้เกิดการอยากลองแต่ง โคลงบทนี้มาจากวรรณคดีเรื่องลิลิตพระลอ เป็นคำพูดของพระเพื่อนพระแพง ที่พูดกับนางรื่นนางโรยสองพี่เลี้ยงว่า “เสียงคนเขาเล่าลือ เอ่ยอ้าง ยกย่องใครทั่วแผ่นดิน สองพี่ (เขือ)ท่านมัวหลับใหล ลืมตื่นหรือ ให้สองพี่ท่านจงคิดดูเองเถิด อย่าได้ถามฉัน (เผือ) เลย” แล้วก็เล่าความเรื่องนี้ให้นักเรียนทราบด้วย ยิ่งดี ว่าทำไมพระเพื่อนพระแพงจึงพูดเช่นนั้นจากนั้นก็กำหนดให้นักเรียนแต่ง เบื้องต้นควรกำหนดให้แต่งในเรื่องใกล้ตัวนักเรียนก่อน เพื่อนนักเรียนจะได้มีข้อมูลในเรื่องนั้นๆ อย่าเพิ่งกำหนดในเรื่องยากๆ ว่าจะต้องมีคำนั้นคำนี้ในโคลงที่แต่งมา ต้องค่อยเป็นค่อยไป เห็นบางครั้งครูกำหนดให้เรื่องยากๆ ต้องมีคำยากๆ ปรากฏอยู่ในโคลงที่แต่งด้วย อันนี้ก็ได้ผลเฉพาะผู้มีทักษะ มีพื้นฐาน แต่สำหรับผู้ใหม่นี้ยากมาก เริ่มต้นเอาแค่ถูกแผนผังถูกฉันทลักษณ์ก่อนได้เป็นดี เรื่องนี้จะสอนไปอย่างรวดเร็วไม่ได้ ต้องค่อยเป็นค่อยไป อยากถามว่าอยากให้นักเรียนรู้ หรืออยากให้นักเรียนเป็น ถ้ารู้ก็สอนเพียงแค่ผ่านๆ ปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือการสั่งงานให้แต่งนั้นนี้มาส่ง เมื่อนักเรียน-นักศึกษาส่งผลงานมาแล้ว ครูไม่ค่อยชี้แจงผิดถูกให้เขา ส่งแล้วก็ส่งเลย หากเป็นไปได้ถึงไม่ชี้แนะทั้งหมด ก็ควรชี้แจงเป็นภาพรวมไป นักเรียนจะได้รู้ว่าตรงไหนผิดพลาดบ้าง ควรปรับปรุงอะไรบ้าง ส่วนเรื่องฉันทลักษณ์รายละเอียดนั้น ก็แล้วแต่ครูจะอธิบายให้นักเรียนทราบ (เรื่อง เอก โท คำเป็น คำตาย คำสร้อย สัมผัสสระ สัมผัสอักษร เอกโทษ โทโทษ) นักเรียนบางคนก็ซื่อตรงจริงๆ ครูบอกว่าเอก ๗ โท ๔ ตามตำแหน่งในโคลงตัวอย่างก็พยายามแต่งให้ได้ เอก ๗ โท ๔ ตามตำแหน่งนั้นจริงๆ ซึ่งลักษณะนี้ก็สามารถทำได้ แต่มันยากสำหรับผู้ใหม่ ครู-อาจารย์ ควรจะบอกเรื่องการใช้คำตาย แทนคำที่กำหนดให้เป็นเสียงเอก ส่วนเรื่องคำตายนี้ก็แล้วแต่ครู-อาจารย์จะอธิบาย พร้อมทั้งยกโคลงตัวอย่างที่ใช้คำตายแทนให้นักเรียนเห็นด้วยยิ่งดี เรื่องเอกโทษ-โทโทษ ปัจจุบันไม่นิยมกัน แต่ให้นักเรียนทราบไว้ก็ดี จะได้เข้าใจ อีกอย่างหนึ่งที่พบเห็น คือนักเรียนจะงงกับตำแหน่งที่เป็นคำสุภาพ คิดว่าเป็นคำสุภาพแล้ว จะไม่มีวรรณยุกต์อะไรเลย เอก-โท ก็คิดว่า เอก-โท เฉพาะตำแหน่งที่กำหนด เรื่องนี้ก็ควรชี้แจงด้วย ว่ายังไงเป็นยังไง เอก-โท นอกเหนือตำแหน่ง ที่กำหนดมีได้ แต่ควรมีตามความเหมาะสม มีมาก ทำให้รก
โคลงจะไพเราะ ท่านเน้นที่สัมผัสอักษรในวรรค และระหว่างวรรค จะช่วยให้คำโคลงที่แต่งไพเราะขึ้นกว่าเดิม การใช้สร้อยในบาทที่หนึ่ง หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ควรใช้ เพราะมันจะทำให้เสียงของคำสร้อยไปตัดสัมผัสในคำที่ห้าในบาทที่สอง สำหรับการลงเสียง คำที่เจ็ดในบาทแรก คำที่ห้าในบาทสอง และคำที่เก้าในบาทสุดท้าย ถ้าลงเสียงจัตวาได้เป็นไพเราะ พูดง่ายๆ ว่าควรให้มีการลงเสียง ต่างระดับกันได้ก็ดี ดังตัวอย่างนี้
๐ สาด ส่งความรักให้ หายหมาง
น้ำ จิตที่จืดจาง จักข้น
รด รักย่อมหนทาง แห่งสุข
กัน และกันดุ่มด้น ดับข้อกินแหนง
พระมหาวินัย ๑๓.๒๘ น. : ๒๗ มิ.ย. ๕๕
๐ สาด ส่งสิ่งชั่วร้าย รดกัน
น้ำ จิตที่ผูกพัน ขาดสิ้น
รด ราดสาดโคลงฉันท์ เฉียดเฉี่ยว
กัน และกันเล่นลิ้น เรื่องร้ายคลายหรือ
พระมหาวินัย ๑๓.๑๕ น.: ๒๗ มิ.ย. ๕๕
๐ ดีอยู่แสร้งบอดใบ้ เบื่อคน
ยุแหย่คอยเวียนวน ว่าร้าย
ทำเหมือนกับว่าตน ประเสริฐ
ดีแต่เที่ยวแปดป้าย แปลกแท้มนุษย์หนอ
พระมหาวินัย ๑๙.๒๕ น. : ๒๗ มิ.ย. ๕๕
๐ อยู่บ้านท่าน อย่าได้ ขาดขยัน
อย่านิ่งดูดาย กัน ก่อสร้าง
ปั้นวัวปั้นควาย สรรค์ สิ่งสุข
ให้ลูกท่านเล่น บ้าง บ่สิ้นเสน่า
พระมหาวินัย ๑๕.๓๓ น. : ๒๙ มิ.ย. ๕๕
๐ ใครหรือจะรอบรู้ ทุกสถาน
ยกแต่พระพิชิตมาร เท่านั้น
ปุถุชนเช่นชนพาล พวกมืด
หวังแต่แสงธรรมซั้น ส่องให้คลายเขลา
พระมหาวินัย ๑๖.๕๐ น. : ๗ พ.ค. ๕๕
๐ อากาศก็อบอ้าว เอาการ
ข้องแวะวจนะขาน ค่อยเอื้อน
งดหงุดหงิดรำคาญ แลขัด เคืองเฮย
ไป่ปล่อยโทสะเปื้อน เปรอะป้ายปรายเขา
พระมหาวินัย ๑๖.๒๐ น. : ๓ พ.ค. ๕๕
๐ ผู้ใหญ่ที่เพียบพร้อม พรหมวิหาร
เด็กเด็กย่อมสัมมาน มนัสน้อม
หวังใดวจนะขาน คงเสร็จ
เพราะว่ามีธรรมห้อม ห่อนสิ้นสิ่งประสงค์
๐ซื่อตรงไป่เลือกพ้อง พวกตน
เสมอภาคในกมล มากไว้
ผิดถูกพิจารณ์จน แจ้งจิต
อคติบ่กรายใกล้ กล่าวแล้วประเสริฐหลาย
พระมหาวินัย ๑๑.๐๒ น. : ๔ เม.ย. ๕๕
จะเห็นได้ว่าโคลงที่ยกมาเป็นตัวอย่างเหล่านี้ บาทสุดท้ายล้วนแต่ลงเสียงจัตวา แต่ละโคลงก็มีสัมผัสอักษรระหว่างวรรค ส่วนโคลงกระทู้ “อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น” จะเห็นว่า บาทที่สาม คำที่สามเป็น โท ซึ่งตรงนี้ตามฉันทลักษณ์กำหนดให้เป็นเอก ลักษณะนี้ก็ไม่ถือว่าผิด เพราะเขียนไปตามกระทู้
โคลงที่มีสัมผัสสระในวรรค ก็คือโคลงนิราศสุพรรณของสุนทรภู่ ตามความคิดเห็นส่วนตัวคิดว่าท่านมุ่งหวังจะให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของท่าน จึงจงใจแต่งแบบนั้น สำหรับผู้หัดใหม่ ก็ควรศึกษาโคลงของท่านดู เพื่อจะรู้ถึงจังหวะของโคลง นักเรียนบางคนแต่งร้อยกรองไม่เป็นเพราะไม่รู้จังหวะ เรื่องจังหวะก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะทำให้ง่ายต่อการแต่ง ถ้าถือตามโคลงของบรมครูสุนทรภู่ จังหวะวรรคหน้าก็เป็น สอง-สาม เรื่องจังหวะนี้ก็แล้วแต่เนื้อความในแต่ละบาท บางทีก็สาม-สอง การแต่งคราแรกย่อมมีการตกหล่น ผิดพลาดบ้าง นักเรียน-นักศึกษาผู้หัดใหม่ ควรให้ครู-อาจารย์ ที่สอนท่านแนะนำ ตรวจแก้ให้ แต่งผิดแล้วจงอย่าได้ท้อถอย ให้ถือว่าผิดเป็นครู ให้แต่งอยู่เรื่อยๆ ไม่นานก็เป็นเอง
นมัสการท่าน ตามมาอ่านโคลงสี่สุภาพครับ
เจริญพรอาจารย์ ขอบคุณที่มาเยี่ยม ขอให้มีความสุข
อ่านสำนวนของท่านอาจารย์แล้วก็ชอบใจ
ขออนุญาตเสริมเรื่องร้อยกรองว่า เราได้แต่เขียนๆ อ่านๆ แบบจืดๆ
เพราะอ่านเป็นทำนองไม่ค่อยจะเป็น
เวลาแต่งจึงไม่ค่อยสนใจเสียงสูงต่ำ ว่าจะลงได้เหมาะไม่เหมาะ
วันก่อนเห็นกวีซีไรต์ไปอ่านบทกวี ก็เสียดาย
กวีมาทั้งทีน่าจะอ่านเป็นทำนองเสนาะ
หรือว่าเราจะเขียนกลอนอ่านกลอนแต่ตัวหนังสือกันเสียแล้วก็ไม่ทราบ...
จริงดัวอาจารย์ ธ.วัชชัย ว่าทุกวันนี้การเขียนๆ ได้ แต่อ่านเป็นทำนองนี่รู้สึกจะมีน้อย เพราะต้องฝึกต้องหัด อีกอย่างก็ไม่ค่อยเห็นความสำคัญเท่าไร นับวันจะหายไป ยิ่งครูภาษาไทยสมัยใหม่ๆ บางทีก็ไม่เป็นกันเลยเรื่องทำนองเสนาะ ขอบคุณอาจารย์ที่เพิ่มเติมเรื่องนี้