วันที่ 20 และ 24 มิถุนายน 2555 เป็นอีกห้วงหนึ่งที่โครงการ “อาหารปลอดภัย ชุมชนใส่ใจสุขภาพ” ได้ขับเคลื่อนต่อเนื่องขึ้น ณ บ้านลาดพัฒนา หมู่ 1 หมู่2 หมู่ 6 และหมู่ 19 ต.ลาดพัฒนา อ.เมือง จ.มหาสารคาม
โครงการดังกล่าว มีนิสิตเข้าร่วมเกือบๆ 70 คน เป็นกิจกรรมหนึ่งในนโยบายเชิงรุก “1 หลักสูตร 1 ชุมชน” ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ภายใต้ความรับผิดชอบของสาขา (วท.บ.) โภชนาการและการจัดการความปลอดภัยในอาหาร คณะสาธารณสุขศาสตร์ ซึ่งอาจารย์สุวิมล สงกลาง เป็นผู้รับผิดชอบหลัก มีวัตถุประสงค์หลัก คือ
จุดเด่นของโครงการอาหารปลอดภัย ชุมชนใส่ใจสุขภาพ มีอยู่หลายประการ อาทิ การเลือกพื้นที่การเรียนรู้ที่มีองค์ประกอบเหมาะสมกับศักยภาพของสาขา เนื่องเพราะชุมชนบ้านลาด เป็นชุมชนขนาดกลาง อยู่ติดตัวเมือง สินค้าในชุมชนส่วนใหญ่รับซื้อมาจากตลาดในตัวเมืองแทบทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้วัตถุดิบที่ซื้อมาจึงสุ่มเสี่ยงต่อการปนเปื้อน นอกจากนี้ภายในชุมชนยังมีร้านจำหน่ายสินค้าจำนวนมาก ทั้งที่เป็นร้านขายของชำ ตลาดสด และแผงลอย อีกทั้งองค์กรในท้องถิ่นก็ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลลาดพัฒนานั้น (รพ.สต.ลาดพัฒนา) ถือได้ว่าปักธงเรื่องนี้อย่างชัดแจ้ง
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ การทำงานระหว่างมหาวิทยาลัยฯ อันหมายถึงสาขาโภชนาการและการจัดการความปลอดภัยในอาหาร กับทาง รพ.สต.ลาดพัฒนาจึงถูกจุดประเด็นขึ้นอย่างมีพลัง จากนั้นจึงขยับขยายความคิดไปสู่แกนนำชุมชน เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่อง “โจทย์” และ “กระบวนการ” ที่จะขับเคลื่อนร่วมกัน โดยถึงแม้ทางสาขาจะแอบปักธงเรื่องบางเรื่องไว้ในใจอย่างหลวมๆ แล้วก็ตาม แต่เมื่อเวทีการค้นหาโจทย์ถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างมีส่วนร่วม ทุกอย่างจึงปรับเปลี่ยนให้ลงตัวกับความต้องการของทุกฝ่าย เสมือนการแลกเปลี่ยนความคิด (shared vision) เพื่อให้ได้ผลสัมฤทธิ์ร่วมกัน (win-win)
นอกจากนี้แล้ว จุดเด่นในทางกระบวนการอีกประเด็นก็คือ ก่อนการลงสู่ชุมชนนั้น อาจารย์สุวิมล สงกลาง ได้ติดอาวุธทางปัญญาให้กับนิสิตเพื่อลงสู่ชุมชนอย่างเป็นระบบ ด้วยการนำเอา “เครื่องมือการทำงานกับชุมชน” (Seven tools) อันเป็นกรอบแนวคิดที่ ดร.นพ. โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ได้สร้างสรรค์ไว้เป็นองค์ความรู้และทางเลือกของการทำงานกับชุมชนมาถ่ายทอดให้กับนิสิต ซึ่งประกอบด้วย
กระทั่งวันที่ 13 มิถุนายน 2555 นิสิตจึงได้ลงสู่ชุมชนเพื่อปฏิบัติการด้วยตนเองอย่างจริงจัง โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ เดินเท้าเข้าหมู่บ้าน เพื่อทำการศึกษาบริบทชุมชนโดยใช้เครื่องมือ 7 ชนิดเป็นกลไกในการขับเคลื่อน รวมถึงการเก็บข้อมูลอันเป็น “สถานการณ์จริง” เกี่ยวกับระบบสุขาภิบาลอาหารของชุมชนไปในตัว เพื่อทำการประเมินและเตรียมสะท้อนผลให้กับชาวบ้านได้ร่วมรับรู้ ซึ่งกระบวนการเช่นนี้ถือได้ว่านิสิตได้นำความรู้ในวิชาชีพและเทคนิคการลงสู่ชุมชนมาประยุกต์ใช้กับชุมชนอย่างน่าสนใจ (knowledge application)
ต่อเมื่อศึกษาข้อมูลต่างๆ ได้ในระดับหนึ่ง นิสิตก็ทำการสังเคราะห์ข้อมูลร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิด พร้อมๆ กับการจัดกระทำกับข้อมูลในเพื่อสะท้อนให้ชุมชนได้ร่วมรับรู้ ซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวกับบริบทชุมชนนั้นได้จัดทำในรูปของแผนผังความรู้ (knowledge map) ส่วนข้อมูลด้านสุขาภิบาลอาหารนั้น ถูกจัดกระทำในรูปของเอกสารเพื่อนำเสนอในวันที่ 20 มิถุนายน 2555 โดยมุ่งให้ชุมชนได้รับรู้เกี่ยวกับ “สถานการณ์จริง” ของระบบสุขาภิบาลอาหารในชุมชนของตนเอง ซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่ว่านั้นก็คือ “ผู้ประกอบการ” หรือ “ผู้จำหน่ายสินค้า”
กระบวนการดังกล่าวนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้นำเสนอ (presenter) แทนที่จะเป็นอาจารย์ หรือเจ้าหน้าที่จาก รพ.สต.บ้านลาด ตรงกันข้ามกลับเป็น “นิสิต” ล้วนๆ ที่เป็นผู้นำเสนอข้อมูลต่างๆ ต่อชุมชน ซึ่งในวันดังกล่าวนั้น นิสิตได้ทยอยลงไปเตรียมพื้นที่กันล่วงหน้าอย่างคึกคัก มีการจัดบอร์ดจัดนิทรรศการ จัดเตรียมเอกสารแจกจ่ายเพื่อเผยแพร่ความรู้ และเมื่อถึงเวลาของการนำเสนอข้อมูลเพื่อ “แลกเปลี่ยนเรียนรู้” ร่วมกับชาวบ้าน นิสิตก็สามารถนำเสนอข้อมูลได้อย่างไม่น่าเบื่อ มีศิลปะในการสื่อสารที่หลากกลาย ใช้ภาษาถิ่นอีสานกับภาษาไทยสลับกันไปมาเพื่อให้เข้าใจง่ายและเป็นกันเอง บางครั้งก็ขานเรียกชาวบ้านว่า “พ่อ-แม่” เป็นระยะๆ ซึ่งการเรียกเช่นนั้นได้ช่วยลดช่องว่างระหว่างนิสิตกับชาวบ้านได้เป็นอย่างดี
กิจกรรมที่เกิดขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน 2555 หลักๆ เป็นฐานการเรียนรู้ 7 ฐาน ประกอบด้วยฐานการเรียนรู้ในเรื่องอาหารการกินและเรื่องใกล้ตัวที่เกี่ยวกับสุขาภิบาลอาหาร คือ (1) สารฟอกขาว (2) ยากันรา (3) บอแรกซ์ (4) ฟอร์มาลีน (5) การล้างมือ (6) BMI (7) ยาฆ่าแมลงและการล้างผัก
ในทำนองเดียวกัน ในวันดังกล่าวนิสิตยังได้ออกแบบกิจกรรมเสริมการเรียนรู้เพิ่มเข้ามานั่นก็คือ การนำเอากิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์มาใช้กับนักเรียน หรือเด็กและเยาวชน ซึ่งกลุ่มดังกล่าวนี้ ส่วนหนึ่งเป็น “อย.น้อย” ในโรงเรียนอยู่แล้ว กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ หรือแม้แต่การออกหน่วยเคลื่อนที่ในชุมชนเช่นนั้น เป็นเสมือนสะพานเชื่อมโยงให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีระหว่างนิสิตกับชุมชน เกิดความคุ้นเคย และเป็นกันเอง เสมือนการปูพรมลงสู่กระบวนการให้ความรู้และประเมินผลสุขาภิบาลอาหารอีกรอบ
ขณะที่นิสิต หรืออาจารย์ก็เกิดกระบวนการเรียนการสอนที่มีมาตรฐาน เป็นการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ (Learning by Doing)
เป็นแบบอย่างที่ดีในการปลุกจิตสำนึก เพื่อสุขอนมัยที่ดีของตนเองและชุมชน..ขอให้กำลังใจค่ะ..
จากห้องเรียน สู่การปฏิบัติจริงในชุมชน และกลับสู่ห้องเรียนอีกครั้ง บรรยากาศการเรียนเปลี่ยนแปลงไป อาจารย์จำชื่อและชื่อเล่นของนิสิตได้มากขึ้น นิสิตตอบคำถาม กล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็น และเข้าใจเนื้อหาทางวิชาการได้ดีขึ้น นี่คือ สิ่งที่ไม่มีขาย ไม่มีเขียนไว้ในหนังสือ ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยการฟัง
"ประสบการณ์ การเรียนรู้ ที่สัมผัสได้ด้วยตนเอง และเป็นประโยชน์ต่อชุมชน"
ครับพี่ใหญ่ นงนาท สนธิสุวรรณ
เท่าที่ลงพื้นที่สัมผัสจริงกับชุมชน นิสิตในโครงการนี้ออกแบบกิจกรรมเองเป็นส่วนใหญ่ มีอาจารย์ รพ.สต./ชุมชนเป็นพี่เลี้ยง เนื้อหา องค์ความรู้ถูกสกัดออกมาจากนิสิต รวมถึงการค้นคว้าเพิ่มเติม เมื่อได้ข้อมูลก็นำมาเสนอต่ออาจารย์ เพื่อให้อาจารย์กลั่นกรอง เติมเต็ม ก่อนนำออกไปบริการสู่สังคม
นี่จึงเป็นการบริการวิชาการแก่สังคมที่ทำให้อาจารย์และนิสิตได้ออกแบบการเรียนรู้ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ อ.ขจิต ฝอยทอง
เด็กๆ ยังเป็นเป้าหมายสำคัญครับ เพราะถือเป็นกลุ่มเสี่ยง กลุ่มเปราะบางในการลือกซื้ออาหาร / ขนมมาบริโภค ชุมชนแห่งนี้อยู่ไม่ไกลตัวเมือง วัตถุดิบต่างๆ ถูกจัดซื้อมาจากตรงนั้น จึงพบเจอการปนเปื้อนฯ ต่างๆ ค่อนข้างสูง
แต่กิจกรรมเช่นนี้ เบื้องต้นก็ช่วยให้ผู้ประกอบการรู้ว่าสินค้ายี่ห้อนี้มีสิ่งเจือปนมา ครั้งถัดไปจึงต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนยี่ห้อ...เปลี่ยนร้าน....ฯลฯ
ขอบคุณครับ
ลึกซึ้ง จริงๆค่ะ
สวัสดีครับ อ.สุวิมล สงกลาง
ขอบคุณที่ให้โอกาสผมเรียนรู้ร่วมกับอาจารย์-นิสิต-ชาวบ้านเป็นอย่างมาก และดีใจมากครับที่ภายหลังการลงสู่ชุมชน หรือแมแต่การถอดบทเรียน (ฉบับย่อ) ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์ทั้งต่อนิสิต ิาจารยืและระบบการเรียนการสอนในรายวิชาที่อาจารย์ฯ ดูแล
ครับ-การออกไปเรียนรู้ชุมชน ช่วยให้นิสิตได้เห็นบริบทที่หลากหลาย มีสถาการณ์จริงให้ฝึกปฏิบัติ การลงมือปฏิบัติก็เป็นการสำรวจศักยภาพตัวเราไปด้วยเช่นกัน และที่สำคัญที่ไม่อาจมองข้ามไปได้เลยก็คือ "การเรียนรู้ที่จะเข้าใจต่อเพื่อนร่วมงานมากขึ้น...รักกันมากขึ้น" ...
นั่นคือสิ่งที่นิสิต ได้ค้นพบและบอกเล่ากับ "ผม" ..
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ พี่หมอ พญ รวิวรรณ หาญสุทธิเวชกุล
มีบางเรื่องที่นิสิตกำลังเรียนรู้ปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน นั่นก็คือเรื่องการนำภูมิปัญญาชาวบ้านเข้ามาใช้กับเรื่อง "สุขาภิบาลอาหาร" ...เพราะกระบวนการที่ถ่ายทอดวันนี้ ล้วนเป็นกระบวนการวิทยาศาสตร์สมัยใหม่แทบทั้งสิ้น
ยังต้องลุ้นกันอีกหลายยกครับ
ขอบคุณ คุณ แดนไท มากครับ
...ดีใจมากเหมือนกันที่นิสิตบอกเล่าให้ฟังว่า เมื่อลงมือทำกิจกรรม ยิ่งทำยิ่งเขาใจตัวเองมากขึ้น ยิ่งทำยิ่งเห็นตัวตนของตนเองมากขึ้น...
สิ่งเหล่านี้ ถึงแม้นิสิตจะยังไม่พูดในมิติเพื่อสังคม แต่ก็ถือว่าสิ่งนี้คือจุดเริ่มต้นไปสู่สังคมที่ดีด้วยเหมือนกัน
การได้ลงสัมผัสชุมชนจริงๆ ถึงจะเข้าใจชุมชน
ถึงแม้เวลาจะน้อยนิด แต่สามารถเปลี่ยนความคิดและกระบวนทัศน์ได้เลยค่ะอาจารย์