ณ ปัจจุบันเราจะพบว่าชาวตะวันตก โดยเฉพาะวงการแพทย์ ให้ความสนใจในการศึกษาและประยุกต์ใช้หลักการทำสมาธิเพื่อรักษาผู้ป่วย หรือพัฒนาระบบประสาทของมนุษย์ [1, 2]
แก่นแท้ของหลักการทำสมาธิ ผมเชื่อว่ามีอยู่ในแนวทางของพุทธศาสนา ที่สำคัญคือเราคนไทยสามารถเข้าถึงความรู้เรื่องนี้ได้โดยแทบจะกล่าวได้ว่ามีคนมาประเคนถึงหน้าประตูบ้าน (อยู่ที่ว่าเราสนใจแค่ไหน) ชาวต่างชาติ (บางรายมีการศึกษาระดับสูง) ต้องเดินทางมากินนอนอยู่วัดต่างๆ ในประเทศไทย เพียงเพื่อเรียนรู้หลักการทำสมาธิในแนวทางของพุทธศาสนาที่แท้จริง
แนวทางการทำสมาธินั้นมีมากมาย บางหลักการสอนให้เรารู้ถึงหลักที่แท้จริงของธรรมะ บางแนวทางกลับทำให้เราหลงทางและไปยึดติด เหล่านี้ผมมิกล้าที่จะนำมาวิพากษ์วิจารณ์ ด้วยตนเองก็ไม่ใช่ผู้รู้ในเรื่องนี้อย่างถ่องแท้แต่อย่างใด
สิ่งที่ผมจะสื่อสารต่อไปนี้นั้น เป็นสิ่งที่ผมประสบกับตนเอง จึงทำให้เชื่อในเรื่องของจิตที่เป็นสมาธินั้น สามารถฝึกให้เป็นไปตามแนวทางของครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่ได้ช่วยสั่งสอนชี้แนะในเห็นตามได้
เรื่องที่ผมประสบเกิดในช่วงวัยเด็ก ประมาณระดับประถมศึกษา
คุณครูมอบหมายงานในวิชาศีลธรรม (สมัยก่อนยังมีวิชานี้อยู่
สมัยนี้ไม่แน่ใจนะครับ) ครูให้นักเรียนทุกคนทำการบ้านโดย
ก่อนนอนทุกคืน ให้นั่งสมาธิเป็นเวลา 5 นาที เป็นเวลา 7 วัน
โดยรายละเอียดว่าคุณครูสอนวิธีนั่งสมาธิอย่างไรนั้น
ต้องขออภัยที่ผมจำไม่ได้แล้ว แต่ที่จำได้อย่างชัดแจ้งเลยก็คือ
ครูบอกให้นึกถึงดวงแก้วสว่างๆ ที่ปลายจมูกแล้วค่อยๆเลื่อนไปที่คอ
แล้วไปวางไว้ที่กลางท้อง ผมคิดว่าในตอนนั้นด้วยความเป็นเด็ก
ที่ไม่มีสิ่งกังวลใดๆในใจ พอนั่งหลับตา
ก็จินตนาการว่าที่ปลายจมูกนั้นมีอุโมงค์ที่เราต้องเข้าไปค้นหาแสงสว่างที่อยู่ที่ปลายอุโมงค์ให้ได้
ในตอนนั้นผมก็สนุกกับการจินตนาการว่ากำลังมอง (ขณะหลับตาอยู่)
เข้าไปในอุโมงค์ที่ลึกและมืดมาก คดเคี่ยวไปมา
พอมองลึกลงไปอีกก็เห็นแสงสว่างเล็กๆส่องลอดออกมา
ตอนนั้นผมก็พยายามมองไล่ตามแสงสว่างนั้นให้ทัน
เห็นแสงรำไรที่ทางซ้ายก็ตามไปทางซ้าย แสงวกไปทางขวาก็ไล่ตามไปทางขวา
ไล่จนกระทั่งตามทันที่ปลายอุโมงค์
พอหลุดจากปลายอุโมงค์ทุกอย่างสว่างจ้าไปหมด
มีลูกบอลกลมๆขาวสว่างลอยอยู่ที่ปลายจมูก....... พอนึกได้ 5
นาทีแล้วตามที่ครูสั่ง อ้าว....ผมก็ล้มตัวลงนอน
(คิดว่าทำการบ้านเสร็จแล้ว ก็นอน) พอคืนวันถัดมาผมก็ทำเช่นเดิม
แต่คราวนี้ผมได้พยายามเคลื่อนลูกกลมสีขาวสว่างไปที่คอแล้วพยายามย้ายลูกบอลนี้ลงไปที่ท้อง
ทุกอย่างไปติดที่คอ ผมไม่สามารถเลื่อนให้ต่ำลงไปที่ท้องได้ ถึงเวลา 5
นาที ผมก็นอน
ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ผมจำได้ติดตาอย่างชัดแจ้งจนกระทั่งปัจจุบันนี้เลยทีเดียว
น่าเสียดายที่ตอนวัยเด็กผมไม่มีใครช่วยชี้แนะ ให้ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
ทุกอย่างหายไป จะมาหัดตอนนี้มันสุดแสนจะยาก
ต้องมาเริ่มจากการไม่ยึดติดกับสิ่งที่เคยเห็นในตอนเด็ก
ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผม (ลืมบอกไปว่าห้องนอนที่บ้านผมนั้น
เรานอนรวมกันพี่น้อง พอปิดไฟเข้านอนนี้ ในห้องมืดพอสมควร
แสงสว่างจ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าถามผมก็คงไม่มีคำตอบนะครับ
แต่ยืนยันด้วยตัวเองได้ว่าสิ่งที่มีการเล่ากันต่างๆนานา
ในการทำสมาธินั้นมีโอกาสเป็นไปได้)
แต่ผมได้เรียนรู้อยู่เรื่องหนึ่งคือ การที่จะสอนลูกเรา หรือเด็กๆ ให้รู้จักความมหัศจรรย์ของจิต จากการนั่งสมาธิ ตั้งแต่เขายังไม่รู้จักกลับเรื่องกังวลใดๆ มีแต่ความบริสุทธิ์ในใจเขา นั้นเป็นโอกาสที่ พ่อแม่ทุกคนไม่ควรพลาด!!! จะบอกว่าในระหว่างเรียนผมได้พบกับน้องคนไทยคนหนึ่งที่ฝึกสมาธิมาตั้งแต่เด็ก แล้วเขาบอกว่า เขาสามารถจำตำราทั้งเล่มได้ เปิดเป็นหน้าๆ ในความคิดเขา (ตามที่เขาอธิบายให้ฟัง) นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่บางที เรื่องใกล้ตัว คนไทยเราก็มองข้ามไป ไม่สนใจ
พิมพ์แบบจิ้มไปก็ง่วงนอนไป ว่าจะสรุปประเด็นให้ดีกว่านี้แต่คงไม่ไหว คงต้องกลับไปทำงานต่อก่อนให้เสร็จ
[1] http://www.youtube.com/watch?v=wdHRR_XuJQo
[2] http://www.sciencedaily.com/releases/2012/03/120314170647.htm
แวะมาเยือน ขอบคุณ สำหรับแนวคิดที่ดี ๆ มีประโยชน์ครับ
ขอบคุณนะครับสำหรับดอกไม้จากทุกท่าน