เทคนิคการใช้คำถามเพื่อพัฒนาการคิดของผู้เรียน
เฉลิมลาภ
ทองอาจ
โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ฝ่ายมัธยม
คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ถ้าจะถามว่า ครูที่ดีคือผู้ที่บอกเนื้อหาความรู้ต่างๆ
ได้โดยละเอียดใช่หรือไม่ แน่นอนว่า คำตอบก็คงชัดเจนว่า
“ไม่ใช่” แล้วถ้าถามใหม่ว่า
ครูที่ดีคือครูที่ใช้สื่อการเรียนรู้ที่ทันสมัยที่สุดใช่หรือไม่
คำตอบก็คงเป็นเช่นเดียวกันกับข้อแรกก็คือ “ไม่ใช่” แล้วครูที่ดีจริงๆ
สำหรับผู้เรียนทุกคนคืออะไร
หากเรายกพระพุทธเจ้าเป็นบรมครูของโลก
นับถือขงจื้อเป็นปราชญ์ตะวันออก
และเห็นว่าโซกราตีสแห่งเอเธนส์เป็นปราชญ์ตะวันตก
เราก็คงจะต้องยอมรับด้วยว่า ผู้มีนามอุโฆษที่ได้กล่าวถึง ณ
ที่นี้ ล้วนแต่เป็น “คุรุ” ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก
และเป็นครูที่ดีที่สุดของผู้เรียน น่าสนใจว่า
ท่านเหล่านี้มีแนวทางการสอนที่คล้ายคลึงกัน
ซึ่งเป็นวิธีที่เรียบง่ายและแยบคายที่สุด
วิธีดังกล่าวทำให้ท่านนำสานุศิษย์ให้เข้าถึงปัญญาหรือแก่นแท้ของชีวิตได้ไม่ยากนัก
ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการศึกษาสามารถที่จะเจริญรอยตาม
ด้วยการนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนของตน
วิธีดังกล่าวนั้นก็คือการ “ปุจฉา-วิสัชนา”
หรือการถามตอบปัญหาระหว่างครูและผู้เรียนนั่นเอง
การใช้คำถามพัฒนาการคิดเป็นรูปแบบของการสื่อสาร
ที่ครูหรือผู้สอนสามารถตรวจสอบระดับการเรียนรู้ด้านปัญญาของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี
โดยหากใช้ทฤษฎีการแบ่งเป้าหมายของการศึกษาด้านพุทธิพิสัยของบลูมมาพิจารณาลักษณะของคำถาม
ก็จะสามารถแบ่งคำถามได้ถึง 6 ระดับ อย่างไรก็ตาม
ครูสามารถที่จะแบ่งคำถามด้วยเกณฑ์อย่างง่ายออกเป็น 2
กลุ่ม คือ คำถามแบบปิด (convergent question)
คือจะสามารถตอบสนองได้ด้วยคำตอบ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องตรงตามที่ถามเพียงสิ่งเดียว เช่น
ผู้แต่งไตรภูมิพระร่วงเป็นใคร
เหตุการณ์ใดที่ส่งผลให้สุนทรภู่ขัดแย้งกับกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
เป็นต้น
และคำถามอีกประเภทหนึ่ง คือ คำถามปลายเปิด
(divergent question)
คือคำถามที่สามารถตอบด้วยความคิดเห็น สมมติฐาน
และการประเมินค่าต่างๆ ที่หลากหลายตามเหตุผลที่ใช้อ้าง
เช่น
ไตรภูมิพระร่วงส่งอิทธิพลอย่างไรต่อระบบความคิดและความเชื่อของคนไทย
เหตุใดกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ไม่ลงโทษสุนทรภู่ทั้งๆที่สามารถกระทำได้
สาเหตุที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของภาษาไทยปัจจุบันคืออะไรบ้าง
หรือการที่สินสมุทรหลอกนางผีเสื้อเพื่อหนีไปกับพระอภัยมณีนั้น
ถือว่าเป็นการอกตัญญูต่อนางผีเสื้อสมุทรหรือไม่
เป็นต้น
นักวิชาการในต่างประเทศ ได้เสนอเทคนิคการใช้คำถาม
และได้กล่าวถึงข้อแนะนำในการใช้คำถามเพื่อเพิ่มปริมาณและคุณภาพการคิดของผู้เรียน
ซึ่งประกอบด้วยเทคนิค 4 เทคนิค สรุปได้ดังนี้ (Moore,
1992: 237-244)
1.
การปรับเปลี่ยนการจ่ายคำถามไปยังผู้เรียนคนต่างๆ
(redirecting) คือ
เทคนิคนี้เป็นการถามคำถามหนึ่งคำถามกับผู้เรียนจำนวนมากเพื่อให้เกิดการตอบสนอง
เทคนิคนี้เป็นทางหนึ่งที่จะช่วยเปิดโอกาสให้เกิดการมีส่วนร่วมในการอภิปรายในชั้นเรียน
คำถามที่ใช้จึงต้องเป็นคำถามปลายเปิด หรือคำถามประเมินค่า
ในบางกรณีอาจมุ่งถามเฉพาะรายบุคคล
และจึงหันไปถามผู้เรียนคนอื่นๆ ต่อเนื่องเป็นลำดับ
หากเกิดประเด็นใหม่เพิ่มเติม
เพื่อให้ผู้เรียนที่ไม่ต้องการแสดงออกมากนักได้
ตอบด้วย ตัวอย่างเช่น
“จากการที่ผู้เรียนเรียนวรรณคดีเรื่องมัทนะพาธา
นักเรียบชอบตัวละครใดมากที่สุดเพราะเหตุใด”
(เรียกชื่อผู้เรียน) “แล้ว........(ชื่อผู้เรียนอีกคนหนึ่ง)
เห็นด้วยหรือไม่กับคำตอบของเพื่อน เพราะอะไร
ช่วยขยายความได้หรือไม่”
2. การรอเวลา (wait time)
การถามคือการสร้างปัญหาอย่างหนึ่งให้กับผู้เรียนแก้ไข
ดังนั้นผู้เรียนจะต้องใช้เวลาสำหรับคิด
หรือเวลาสำหรับการพิจารณาไตร่ตรองว่า
ตนเองควรจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำถามในลักษณะใด
การรอเวลาของครูมี 2 รูปแบบคือ
รูปแบบแรกจะรอเวลาให้ผู้เรียนคนหนึ่งตอบเสร็จแล้วจึงถามคนต่อไป
ส่วนอีกรูปแบบหนึ่ง คือ
รอเวลาให้ผู้เรียนทุกคนที่ประสงค์จะตอบตอบให้หมด
โดยครูต้องตระหนักเสมอว่า
การอดทนโดยเพิ่มระยะเวลาในการรอคำตอบคำถามเพียง 3 ถึง 5 วินาที
จะทำให้ผู้เรียนมีโอกาสที่จะคิดคำตอบของตนเองได้มากขึ้น
3.
การพักเวลาชั่วคราว (halting time)
มีความคล้ายกับเทคนิคการรอเวลา
แต่จะแตกต่างที่เป็นการที่ครูหยุดการดำเนินกิจกรรม เช่นหยุดพูด
เพื่อให้ผู้เรียนได้มีเวลาสำหรับคิด ซึ่งในขณะนั้น
ครูจะไม่ถามคำถามอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามา
หรือจะไม่มีการแสดงความคิดเห็นของผู้เรียน
การพักเวลาสำหรับให้คิดนี้มีประโยชน์อย่างมากเมื่อครูสอนเรื่องที่มีความซับซ้อนหรือเป็นวิธีการ
ซึ่งในขณะที่เด็กกำลังหยุดคิดนั้น
ครูควรสังเกตและตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจในเรื่องที่สอนไปหรือไม่
หากผู้เรียนสามารถแสดงให้เห็นว่าเข้าใจจึงจะเริ่มเข้าสู่กิจกรรมต่อไป
แต่ในทางตรงกันข้ามหากเห็นว่าผู้เรียนไม่เข้าใจ
ครูก็ควรใช้คำถามหรืออธิบายวิธีการนั้นๆ ซ้ำอีกครั้ง
4.
การฟัง (listening)
ครูจะต้องฟังผู้เรียนพูดหรือตอบคำถามกระทั่งจบ
จากนั้นจึงจะถามคำถามอื่นหรือให้ข้อเสนอแนะต่อคำตอบของผู้เรียน
โดยส่วนมากครูมักมัวแต่ยุ่งกับตัวเองในขณะที่ผู้เรียนกำลังพูด
หรือไม่สนใจคำตอบของผู้เรียนอย่างแท้จริง
จากนั้นจึงรีบถามคำถามอื่นๆ
การอธิบายเรื่องใหม่และการทำกิจกรรมใหม่
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ครูควรเอาใจใส่ต่อการนำเสนอ
ไม่ควรรบกวนหรือปิดกั้นผู้เรียนก่อนที่จะเสร็จสิ้นการตอบคำถาม
และเมื่อฟังผู้เรียนตอบครบถ้วนแล้ว ควรเว้นให้เกิดเวลาเงียบ
(silent times) เพื่อให้ผู้เรียนคนอื่นๆ
ได้ครุ่นคิดในประเด็นที่ได้ตอบคำถามไปซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการ
“ตกผลึกความคิด” ก็ได้
การใช้คำถามคำถามเพื่อพัฒนาการคิดขอผู้เรียน
มีข้อเสนอแนะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของคำถาม ดังต่อไปนี้
1.
ถามคำถามที่ชัดเจน
คำถามนั้นควรที่จะถามถึงบางสิ่งที่สามารถระบุได้ง่าย
ภาษาที่ใช้ถามต้องชัดเจนและผู้เรียนสามารถที่จะเข้าใจได้
หลีกเลี่ยงข้อความที่กำกวม
มีโครงสร้างที่ยุ่งยากและการใช้ถ้อยคำที่ฟุ่มเฟือยหรือเยิ่นเย้อเกินความจำเป็น
2.
ครูควรถามคำถามก่อนที่จะกำหนดผู้ตอบ
ครูควรถามคำถามนำไปก่อน
แล้วรอให้ทั้งชั้นเรียนได้คิดเกี่ยวกับคำถามนั้น
จากนั้นจึงขอผู้เรียนสักคนหนึ่งเป็นอาสาสมัครที่จะตอบคำถาม
ในกรณีนี้อาจมีข้อยกเว้นสำหรับผู้เรียนที่ไม่ใส่ใจเรียน
ครูควรเรียกชื่อก่อนเป็นลำดับแรกแล้วจึงจะใช้คำถาม
หรือสำหรับผู้เรียนที่ค่อนข้างช้าหรือขี้อาย
ก็ควรที่จะเรียกชื่อเพื่อให้พวกเขาสามารถที่จะเตรียมตัวเองเสียก่อน
ทั้งนี้ ครูจะต้องพิจารณาด้วยว่า
คำถามสำหรับผู้เรียนที่เรียนรู้ช้าหรือค่อนข้างขาดความมั่นใจไม่ควรเป็นคำถามที่ยากเกินไปนัก
และพวกเขามีโอกาสที่จะตอบได้ง่าย
ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ผู้เรียนรู้สึกไม่กลัวคำถาม
การตอบคำถามและมีความเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถที่จะตอบได้
3.
ถามคำถามที่เหมาะสมกับจุดประสงค์ของเนื้อหาที่เรียน
คำถามที่ใช้ในกิจกรรม การเรียนการสอนนั้น
ต้องมุ่งหาข้อเท็จจริงที่ต้องการ
ถามคำถามที่ตอบได้ตามความจริงและสามารถที่จะพิสูจน์ได้
เมื่อต้องการให้กระตุ้นให้ผู้เรียนคิดควรที่จะใช้คำถามแบบการสร้างผลผลิต
หรือคำถามแบบประเมินค่า ทั้งนี้ ครูพึงตระหนักด้วยว่า
ควรใช้คำถามที่มีระดับทางปัญญาในการตอบที่แตกต่างกันออกไป
4.
แจกคำถามให้กับทั้งชั้นเรียนอย่างยุติธรรม
ครูจะต้องพยาพยามหลีกเลี่ยงที่จะให้คำถามกับผู้เรียนที่ฉลาดคนใดคนหนึ่ง
หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
และที่สำคัญจะต้องพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพัฒนาการวางระบบอย่างใดอย่างหนึ่งในการเรียกผู้เรียนขึ้นตอบ
(หมายถึงการถามแบบสร้างระบบ เช่น เรียกตอบตามเลขที่ไล่ลำดับลงไป
หรือ เรียกตอบตามแถวที่นั่งเรียงกันไป)
เพราะผู้เรียนจะสนใจแต่เฉพาะการเรียกถามที่จะกำลังเข้าใกล้หรือกำลังจะย้อนกลับมา
ซึ่งจะสร้างความเครียดและวิตกกังวลมากกว่าการคิดเรื่องคำตอบ
5.
ถามคำถามให้เหมาะสมกับผู้เรียนทุกระดับความสามารถในห้องเรียน
คำถามบางคำถามบ้างก็เป็นคำถามที่ง่ายและบางคำถามก็เป็นคำถามที่ยาก
ดังนั้นผู้เรียนทุกคนควรจะได้รับโอกาสที่จะตอบคำถามอย่างถูกต้องตามระดับความสามารถของตนเอง
6.
ถามคำถามเพียงคำถามเดียวในเวลาครั้งหนึ่งๆ
หากครูถามคำถามมากกว่า 1 หรือ 2
คำถามในห้วงเวลาเดียวกัน
ก็อาจมีโอกาสที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดความสับสนเพราะคิดตามไม่ทัน
เพราะคำถามจำนวนมากจะทำให้ผู้เรียนไม่มีเวลาคิด
และเมื่อครูใช้คำถามจำนวนมาก
ผู้เรียนก็ไม่อาจแน่ใจว่าควรที่จะตอบคำถามใดก่อน
7.
หลีกเลี่ยงการใช้คำถามที่ตอบได้เร็วมากเกินไป
คำถามที่ตอบได้เร็วในที่นี้ เช่น คำถามเติมคำ
(กลอนสุภาพได้รับการพัฒนาอย่างมากในสมัยของสุนทร.......(ภู่-นักเรียนตอบพร้อมกัน))
หรือคำถามที่ลงท้ายว่า “ใช่หรือไม่” หรือ “ใช่ไหม”
การใช้คำถามที่ดี
ครูควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาเนื้อหาหรือสนทนากันก่อนในบางประเด็น
เพื่อสร้างความรู้พื้นฐานก่อนการเริ่มรับชุดคำถามที่ต่อเนื่องของครู
8.
ควรเว้นช่วงห่างระหว่างคำถามแต่ละคำถามประมาณ 3-5 วินาที
เวลาดังกล่าวควรหยุดไว้สำหรับผู้เรียนที่ควรจะได้คิดหรือเรียบเรียงคำตอบของตนเอง
ไม่มีวิธีใดที่จะกระตุ้นการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ดีเท่ากับการใช้คำถามเพื่อพัฒนาการคิดของครู
นักเรียนจะเกิดความแจ่มแจ้งทางปัญญาได้
หาได้เกิดจากฟังข้อมูลที่ครูเล่า บอก อธิบาย เสนอ ฯลฯ
แต่เพียงอย่างเดียวไม่
จำจะต้องอาศัยกลไกทางปัญญาในการวิเคราะห์ไตร่ตรองข้อมูลให้ถ้วนถี่
ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยการที่ครูใช้คำถามกระตุ้นให้คิด
ถามให้วิเคราะห์หาเหตุผล ถามความรู้สึก ถามเพื่อวิพากษ์
ถามเพื่อวิจารณ์ เป็นต้น ครูที่ไม่มีคำถามใดๆ เลยในการสอน
หรือคิดว่าสิ่งที่ตนเองสอนไม่น่าจะเกิดปัญหาหรือคำถามใดๆ เลย
เขาเหล่านี้ย่อมนำพาผู้เรียนไปสู่ความจริงแท้ของการศึกษาได้ลำบากนัก
____________________________________________
ประโยชน์ใดที่เกิดจากบทความนี้
ผู้เขียนขออุทิศเป็นกตัญญุตาแด่ตา-ยาย
ผู้ให้ความสำคัญกับการศึกษามากกว่าสิ่งอื่นใด
การนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความนี้ไปใช้เพื่อการใดๆ
ควรดำเนินการตามหลักจรรยาบรรณในการอ้างอิง