Well-Being หรือแปลเป็นไทยว่า ความผาสุก ความเป็นอยู่ที่ดี
หรือความสุขในการทำงาน เป็นอีกคำหนึ่งที่มีหลายๆ
คนพูดถึงมากในแวดวงของการบริหารงานบุคคล
มีงานวิจัยในเรื่องนี้เกิดขึ้นมาในต่างประเทศ ที่ต้องการพิสูจน์ว่า
ถ้าพนักงานมีความเป็นอยู่ที่ดี รู้สึกดีในการทำงาน
แล้วผลงานจะออกมาเป็นอย่างไร
ซึ่งผลจากการวิจัยก็ค่อนข้างชัดเจนมากกว่า
ผลงานของพนักงานที่มีความสุขในการทำงานนั้นจะออกมาดีมาก
จนถึงโดดเด่นเลยทีเดียว
มีงานวิจัยของทาง The Economics of Wellbeing by Tom
Rath & Jim Harter and Positive Intelligence(from the
January/February 2012 Harvard Business Review) by Shawn Achor
ซึ่งผลออกมาชัดเจนมากว่า
เรื่องของการมีความเป็นอยู่ที่ดีในการทำงานนั้น
จะทำให้ผลงานในด้านต่างๆ ดีขึ้นดังนี้ครับ
- ผลงานดีขึ้นถึง 31%
- พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น 3 เท่า
- พนักงานมีความรู้สึกผูกพันต่อองค์กรเพิ่มขึ้นอีก 10 เท่า
- มีพนักงานถึง 40% ที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น
- สร้างยอดขายเพิ่มขึ้นอีก 37%
- พนักงานมีความพึงพอใจในการทำงานเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่า
จากผลการวิจัยข้างต้นก็เลยมีหลายบริษัทที่พยายามจะสร้าง Well-being
ให้เกิดขึ้นในการทำงาน โดยให้พนักงานแต่ละคนนั้นมี Well-being
ทั้งในแง่ของการทำงานและในแง่ของการใช้ชีวิตส่วนตัวของตนเอง ดูๆ
ไปแล้วก็คล้ายๆ
กับเรื่องของการสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว
(Work-Life Balance) นั่นเอง และในการสร้าง Well-being
ให้เกิดขึ้นในการทำงานได้นั้น ผู้ที่ทำวิจัยเขาบอกว่าต้องสร้าง 5
ตัวนี้ให้เกิดขึ้นในที่ทำงานให้ได้ ดังนี้
-
Positive Emotion at
work ก็คือการสร้างบรรยากาศในการทำงานที่ดี
เพื่อที่จะทำให้พนักงานมีอารมณ์ที่ดีในการทำงาน
เรียกว่าเป็นความรู้สึกเชิงบวกต่อบรรยากาศในการทำงานนั่นเอง
สิ่งเหล่านี้จะสร้างได้โดยสร้างความสนุกสนานในการทำงานให้มากขึ้น
ทำงานแบบไม่เครียดจนเกินไป ให้มีเวลาพักผ่อน หรือผ่อนคลายได้บ้าง
เพราะถ้าพนักงานเครียดในการทำงานมาก อารมณ์ก็จะเสียตามมา
และเมื่ออารมณ์เสีย ผลงานก็จะแย่ตามไปด้วยนั่นเอง
-
Positive Relationships at
work
คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันในการทำงาน
พนักงานมาทำงานแล้วจะต้องรู้สึกถึงบรรยากาศของความเป็นมิตร
มีสังคมที่ดี มีเพื่อนร่วมงานที่คุยกันได้รู้เรื่อง
ไม่ใช่มีแต่ความขัดแย้งในการทำงานตลอดเวลา
จะคุยกันทีไรก็ต้องทะเลาะกันทุกครั้งไป
แบบนี้พนักงานเองก็จะไม่เกิดความผาสุกในการทำงานอย่างแน่นอน
และสิ่งที่ตามมาก็คือ ผลงานพนักงานก็จะแย่ลงไปเรื่อยๆ
เพราะเขารู้สึกไม่ดี และไม่อยากทำงานในบรรยากาศแบบนี้
-
Meaning and Purpose at
work คือ
การทำให้พนักงานรู้สึกว่างานที่เขาทำนั้นมีความหมาย
และมีเป้าหมายที่ชัดเจน พนักงานจำเป็นที่จะต้องรู้ว่า
งานที่ตนเองทำนั้นมีความสำคัญต่อองค์กรมากเพียงใด
เมื่อพนักงานทราบว่างานที่ตนเองทำมีความสำคัญต่อองค์กรแล้ว
สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เขาจะรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของงานที่ทำ
และรู้สึกถึงความภาคภูมิใจในการทำงานนั้นๆ ผลที่ตามมาก็คือ
ผลงานของพนักงานคนนั้นจะดีขึ้นไปด้วยครับ
-
Position Accomplishment
at work ความรู้สึกถึงความสำเร็จในการทำงาน
รู้ว่าผลงานของตนเองเป็นอย่างไร
และมีวิธีการไปสู่ความสำเร็จได้อย่างไร
เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญอีกเรื่องหนึ่งนะครับ
ถ้าพนักงานไม่มีโอกาสได้ทราบเลยว่า ผลงานของตนเองเป็นอย่างไร ดี ไม่ดี
หรือต้องปรับปรุงอะไรบ้างแล้ว
พนักงานก็จะไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความสำเร็จในการทำงานเลย
หรือพนักงานทำดี แต่นายไม่เคยบอกเลย
ความรู้สึกถึงความสำเร็จในการทำงานก็จะไม่มี
ผิดกับบางองค์กรที่แม้พนักงานจะทำงานไม่ได้ตามเป้า
แต่มีวิธีการในการช่วยเหลือ สอนงาน
ให้พนักงานปรับปรุงการทำงานของตนเองให้ได้ตามเป้าหมาย
พนักงานกลับจะรู้สึกว่า งานที่เขาทำมีความหมาย
และมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในงานได้
ถ้าพนักงานรู้ว่าตนเองมีสิทธิที่จะประสบความสำเร็จในการทำงานได้
เขาก็จะอยากทำงาน และอยากสร้างผลงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง
เพราะคนเราทุกคนต้องการความสำเร็จครับ
-
Position Health at
work การที่พนักงานมีสุขภาพที่ดี ก็จะส่งผลต่อผลงาน
ดังนั้นองค์กรก็ต้องสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เป็นการทำลายสุขภาพของพนักงาน
ระบบความปลอดภัยต่างๆ จะต้องรองรับการทำงานได้อย่างดี
เพื่อให้พนักงานรู้สึกว่า
ทำงานแล้วไม่ต้องมานั่งกังวลกับเรื่องความเสี่ยงต่างๆ
ที่อาจจะเกิดขึ้นกับชีวิตของตนเอง
ถ้าเพนักงานรู้สึกว่าทำงานแล้วไม่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพและชีวิต
เขาก็จะทำงานอย่างสบายใจ และผลงานก็จะดีขึ้นอีกครับ
ทั้งหมดนี้ก็คือปัจจัย 5
ด้านที่องค์กรควรจะสร้างขึ้นในการทำงานในองค์กร เพื่อสร้าง Well-being
ให้เกิดขึ้นกับพนักงาน
เพื่อสุดท้ายแล้วพนักงานเองก็จะรู้สึกผูกพันกับองค์กร
เมื่อพนักงานรู้สึกผูกพันแล้ว สิ่งที่จะตามมาก็คือ
ผลงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องครับ