น้ำผึ้ง...น้ำหวานที่มากคุณค่า เพื่อสุขภาพ
คำว่า "น้ำผึ้ง" จากอดีตจนถึงปัจจุบัน คนทุกชาติทุกภาษายอมรับว่าเป็นยาอายุวัฒนะขนานแท้ สำหรับคนไทยเรารู้จักผึ้งและคุณค่าของน้ำผึ้งมาแต่โบราณกาล ที่เป็นหลักฐานเด่นชัดก็คือ หลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มีตัวอักษร "ผ" ปรากฏอยู่ และนอกจากนี้ ในประวัติศาสตร์ศาสนาต่างๆ เกือบทุกศาสนาทั่วโลกก็ได้มีการจารึกถึงคุณประโยชน์ของผึ้ง และน้ำผึ้งไว้ด้วย
"น้ำผึ้ง" เป็นอาหารที่ให้ความหวานที่เก่าแก่ที่สุด เป็นน้ำตาลบริสุทธิ์จากธรรมชาติ ปราศจากเชื้อโรค ปลอดภัยต่อการบริโภค สรรพคุณของน้ำผึ้งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกชาติ ทุกภาษายอมรับถึงคุณประโยชน์ของการใช้เป็นอาหารบำรุงสุขภาพ และมีความเชื่อถึงสรรพคุณทางยา แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น สถาบันแพทย์แผนไทย ระบุว่า น้ำผึ้ง เป็นสารที่ให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย บำรุงประสาทและสมองให้สดชื่นแจ่มใส เป็นต้น ในสมัยโบราณถือว่าน้ำผึ้งเป็นยาอายุวัฒนะที่มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อร่างกาย และเป็นของกำนัลที่มีมูลค่าสำหรับผู้ให้และผู้รับเสมอมานับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
จากน้ำหวาน...เป็นน้ำผึ้ง
น้ำผึ้ง คือ น้ำหวานที่ผึ้งงานเก็บจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ หรือต้นไม้ ที่ผ่านกระบวนการย่อยภายในตัวผึ้ง แปรสภาพน้ำหวานให้กลายเป็นน้ำผึ้ง ขณะกำลังบินกลับรัง แล้วคายออกมาเก็บไว้ในหลอดรวง ผ่านการระเหยน้ำโดยผึ้งช่วยกันกระพือปีกไล่ความชื้น จนน้ำผึ้งในหลอดรวงนั้นมีความชื้นน้อยกว่า 20% ฝาหลอดรวงรังปิด จึงจัดเป็นน้ำผึ้งที่มีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน
มีอะไรบ้าง?ในน้ำผึ้ง
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า น้ำผึ้ง คือน้ำตาล แต่ความจริงแล้ว น้ำผึ้งไม่ใช่น้ำตาลธรรมดาแต่เป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยว ที่ร่างกายสามารถย่อยและดูดซึมไปใช้ได้ง่าย องค์ประกอบที่สำคัญๆ ในน้ำผึ้ง มีดังนี้
1. น้ำ หรือความชื้นที่มีอยู่ในน้ำผึ้ง มีประมาณ 17-18% โดยมาตรฐาน โดยทั่วไปมีความชื้นไม่เกิน ร้อยละ 21 จะทำให้เก็บไว้ได้นาน ไม่บูดเสียง่าย
2. น้ำตาล มีไม่ต่ำกว่า 17 ชนิด เช่น ฟรุกโทส กลูโคส ซูโครส มอลโทส เป็นต้น น้ำผึ้งเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้น้ำผึ้งมีรสหวาน
3. กรด ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด ได้แก่ กรดกลูโคนิก นอกจากนี้ ยังมีกรดอะมิโน ถึง 16 ชนิด กรดเกลือ และกรดกำมะถันรวมอยู่
4. แร่ธาตุ ได้แก่ โพแทสเซียม คลอรีน กำมะถัน แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม ซิลิคอน เหล็ก แมงกานีส ทองแดง ถึงจะมีปริมาณไม่มากนัก แต่ก็อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม ประมาณ 0.02-1%
5. เอ็นไซม์ ช่วยให้เกิดปฏิกิริยาที่มีประโยชน์ต่างๆ เช่น
- กลูโคสออกซิเดส เปลี่ยนกลูโคส กรดกลูโคนิก+ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญของเชื้อโรค เช่นเดียวกับสารอินฮิบิน แต่สารอินฮิบินจะสลายตัวเมื่อได้รับความร้อนประมาณ 57 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 ชั่วโมง
- อินเวอร์เทส ช่วยย่อยน้ำตาล ซูโครส เดกซ์โทรส และ ลีวูโลส แต่เอ็นไซม์ชนิดนี้จะสลายตัว เมื่อได้รับความร้อนมากกว่า 58-59 องศาเซลเซียส นาน 10 ชั่วโมง
- ไดแอสเตส ช่วยย่อยแป้ง น้ำตาล แต่ความจริงแล้วจะไม่มีแป้งอยู่ในน้ำหวานของดอกไม้ ทำให้ไม่ต้องใช้เอ็นไซม์ตัวนี้ แต่เป็นเพียงตัวบ่งชี้ให้รู้ว่า เป็นน้ำผึ้งที่มีไดแอสเตส มากน้อยเพียงใด
6. วิตามิน ที่พบมีหลายอย่าง เช่น บี 1 บี 2 ซี บี 6 และวิตามินบีรวม แตกต่างกันตามชนิดของเกสรดอกไม้ในน้ำผึ้งนั้น
7. โปรตีน และกรดอะมิโน
น้ำผึ้ง...กับคุณสมบัติทางยา
น้ำผึ้ง สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะน้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ซึ่งความเข้มข้นนี้จะช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียต้องการใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดและมีปริมาณโปรตีนต่ำ ทำให้แบคทีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น นอกจากนี้ น้ำผึ้ง ยังมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และสารแอนติออกซิแดนต์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียว และยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต ปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนักได้
นอกจากนี้ ในน้ำผึ้งยังมี "โพลเลน" ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติเป็นยาปฏิชีวนะตามธรรมชาติ มีฤทธิ์สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ดังนั้น เวลาที่เราได้รับบาดเจ็บมีแผลเล็กน้อย เช่น แผลถลอก รอยขีดข่วนต่างๆ ก็สามารถใช้น้ำผึ้งทาเพื่อฆ่าเชื้อโรคได้ และน้ำผึ้งยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ สามารถแก้อาการท้องผูกในเด็กและคนชราได้เป็นอย่างดี
แต่ ที่แน่ ๆ เวลาแฮ้งเหล้า ผสมน้ำอุ่นซักหน่อยแก้ได้ครับ