โครงการพาแม่...กลับบ้านเกิด...ไปจังหวัดเลย…ของพี่ๆ น้องๆ เลื่อนแล้วเลื่อนอีก
จนโรงเรียนของลูกๆ หลานๆ เปิดเทอมกันแล้ว...
เป็นวันที่ลงตัวของทุกคนพอดี...เอารถกันไปสองคัน...
ผมและครอบครัว...มารวมตัวที่บ้านแม่...ตอนหนึ่งโมงเช้า
แต่ด้วยเตรียมอะไร..หลายสิ่งหลายอย่าง...ทำให้ออกเดินทางเกือบสองโมงเช้า
ผมขับมารถล่วงหน้า...จนถึงผานกเค้า...ประมาณสามโมงกว่าๆ...เป็นจุดนัดหมายรอกันอีกครั้ง...เพื่อทานข้าวด้วย
รถที่นำแม่มา...ก็มาถึงในเวลาไล่เลี่ย...ผมเดินไปหาแม่...เห็นแต่แม่กำลังอาเจียน...เป็นน้ำออกมาประมาณหนึ่งแก้วในถุงหิ้ว...หลับตา...อ่อนเพลีย
ถามน้องสาวที่นั่งใกล้แม่...บอกว่า แม่มีอาการคล้ายเมารถ…แล้วก็เหงื่อแตก อ่อนเพลีย และอาเจียน
ผมก็รีบบอกน้องสาวว่า...ลืมอาการภาวะน้ำตาลต่ำในเลือด (hypoglycemia) (*) เพราะแม่เรา..เป็นเบาหวานนะ...
เมื่อเช้าแม่ทานข้าวและยายัง...น้องสาวบอกว่า...ยัง...เพราะรอมาทานพร้อมกันที่นี้
ทำให้ผมรู้สึกโกธรตัวเอง...ที่ไม่ได้ถามว่า...แม่ทานข้าวยัง...เพราะเวลาล่วงเลยไปมาก...การทานข้าวไม่ตรงเวลา...เดินทางมานอกบ้านสำหรับแม่ที่นอนบนเตียงตลอดเวลา และไกลด้วย...ทำให้แม่มีอาการเช่นนี้
นับเป็นความผิดพลาดในการเดินทางของแม่...ที่ผมไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย
จึงให้หลานไปซื้อน้ำหวานสีแดงมาให้แม่ดื่ม...เอายาดมให้ดมพลางๆ ก่อน...
ว่าตัดสินใจเดินทางกลับ...ไปโรงพยาบาลชุมแพ ซึ่งอยู่ห่างประมาณ 30 กิโลกว่าๆ
แต่ผมเหลือบเห็นอนามัย หรือ รพ.สต. จึงพาขอยืมเครื่องวัดความดันโลหิต...เครื่องเจาะเบาหวาน
และถามคุณหมอต่อว่า...มียาฉีดแก้วิงเวียน (dimen ฉีด) ...มีกลูโคสสำหรับฉีดไหม...
ซึ่งที่นี้มีเพียงเครื่องวัดความดันโลหิต...อย่างอื่นไม่มีในกรอบการรักษา (**)
ผมวัดความดันให้แม่ในรถ...ค่าความดัน 134/92 ...ชีพจร 86 ครั้งต่อนาที...ก็นับว่า..โอเคสำหรับแม่
แต่ประเมินอาการของแม่...ยังอาเจียน...อ่อนเพลีย...เหงื่อแตกอยู่
จึงอุ้มมาจากรถ...เพราะรถตากแดดอยู่...นำมาเข้าเพิงร้านอาหาร
ให้ทานยาแก้วิงเวียนเม็ด...และหลังจากดื่มน้ำหวานจนหมดแก้ว...ยาดม...พัดวี่...บีบนวด
แม่ก็เริ่มอาการดีขึ้น...ลืมตาได้...พวกเราจึงค่อยๆ ป้อนข้าวให้แม่ทาน…จนอาการกลับคืนมาปกติ
พวกเราถามแม่ว่า...จะเดินทางต่อไป...หรือจะกลับบ้านเรา...เพราะระยะทางประมาณใกล้เคียงกัน
แม่บอกว่า...ไปต่อ...คิดถึงบ้านเกิด...อยากไปหาญาติพี่น้อง...เมื่อคืนนี้...ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ
เหตุการณ์วันนี้...เป็นบทเรียนให้ลูกๆ อย่างดี….ในหลายประเด็นที่เราใส่ใจแม่ไม่เพียงพอ
ไม่ได้เตรียมอุปกรณ์และยาในการเดินทาง....ไม่ถามไถ่การทานข้าวเช้าของแม่ที่ล่วงเวลามานาน...การปล่อยให้แม่อาเจียนระยะทางมากกว่า 30 กิโล....รถเก๋งที่แม่นั่งมาเป็นรถใหม่อาจทำให้แม่แพ้กลิ่นรถใหม่ได้....ไม่ถามแม่อีกอย่างว่า..เมื่อคืนนี้นอนหลับดีไหม ?.....
ผมขอโทษแม่นะครับ....
หมายเหตุบันทึก....
(*) เป็นภาวะฉุกเฉินที่พบบ่อย แต่ไม่น่าจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะเป็นภาวะที่ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้เนื่องจากผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วไป น้ำตาลในเลือดจะสูงกว่าปกติ ดังนั้นการที่น้ำตาลในเลือดต่ำ แสดงว่าเกิดจากฤทธิ์ของยาเบาหวานไม่ว่าจะแบบกินหรือแบบฉีด …
ถ้าเกิด "ภาวะน้ำตาลต่ำ" ในตอนกลางคืน...ผู้ป่วยจะหลับไปเลยโดยไม่ตื่นขึ้นมาอีกได้ง่าย... เพราะลูกหลานหรือผู้ดูแลต่างก็นอนหลับเช่นเดียวกัน หรือคิดว่าผู้ป่วยหลับอย่างสบาย ก็ไม่กล้าไปเรียกหรือไปปลุก พอตื่นเช้าขึ้นมา ไปดูอีกทีผู้ป่วยก็จากเราไปแล้ว
การป้องกัน "ภาวะน้ำตาลต่ำ" จะทำได้ไม่ยาก แต่แพทย์ และบุคลากรสุขภาพ ต้องไม่ลืมแนะนำผู้ป่วยและญาติ...จนผู้ป่วยและญาติเข้าใจและซึมซับในเรื่องนี้เป็นอย่างดี ...ซึ่งบางทีหรือหลายๆ ทีต้องพูดแนะนำครั้งแล้วครั้งเล่า (ซ้ำๆ ซากๆ) มิฉะนั้นผู้ป่วยและญาติอาจจะลืมเลือนไปได้
(**) เครือข่ายบริการสุขภาพอำเภอ (CUP) ของอำเภอผม...ให้ รพ.สต.หรืออนามัย จัดบริการคลินิกเบาหวาน และความดันโลหิตสูงด้วย จึงมีระบบการดูแล และสนับสนุนเวชภัณฑ์พร้อม... รวมถึงระบบการสื่อสารกับแม่ข่ายโรงพยาบาล หรือ 1669 ในกรณีต้องการคำปรึกษา...ในความคิดของผม...อนามัยใกล้ทางหลวง...น่าจะมีการเตรียมการในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินในระหว่างการเดินทางน่าจะดีมากครับ
คุณแม่โชคดีที่มีลูกชายใส่ใจดูแลอย่างถูกหลักการแพทย์..ขอให้กำลังใจค่ะ