วานนี้ (7 กันยายน 2549) ตอนบ่าย ผู้เขียนมีโครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบโครงการหนึ่ง คือ “โครงการเสวนาเพื่อสร้างความเข้าใจการใช้บริการงานทะเบียนฯ” เป็นโครงการที่สืบเนื่องจากปัญหาความไม่เข้าใจในกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ของมหาวิทยาลัยในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเรียนของนิสิต รวมถึงกรณีพิพาทซึ่งเกิดจากการกระทบกระทั่งกันของผู้ให้บริการกับผู้รับบริการที่บางครั้งเหมือนเป็นการมองต่างมุม คนละหน้าที่ คนละบทบาท ในฐานะที่เราเองส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่กับนิสิต ประกอบกับการที่รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ รองศาสตราจารย์ ดร.สุพักตร์ พ่วงบางโพ ท่านมีความประสงค์จะให้มีโครงการต่างๆ เพื่อให้กองบริการการศึกษาได้มีการพบนิสิตโดยตรง เพื่อรับทราบปัญหาหรือข้อเสนอแนะจากนิสิต รวมถึงเราเองก็จะได้มีโอกาสสร้างความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ที่นิสิตคับข้องใจ จึงเป็นที่มาของโครงการดังกล่าว
พวกเราเริ่มโครงการกันด้วยการประชุมเตรียมงาน แบ่งงานกันในแต่ละฝ่าย บุคลากรของงานทะเบียนนิสิตและประมวลผล มีอยู่ 20 ชีวิต ทุกคนได้รับมอบหมาย ให้ทำหน้าที่ตามความสามารถและศักยภาพของตนเอง มีทีมประชาสัมพันธ์ ทีมประสานงานและการเตรียมเอกสาร ทีมพิธีการ ทีมการเงินและพัสดุ ทีมประเมินผล และทีมปฏิคมดูแลเรื่องอาหารเครื่องดื่ม ด้วยภารกิจของงานทะเบียนฯ ที่แต่ละคนรับผิดชอบงานประจำที่ทุกวันแทบจะไม่มีเวลาสำหรับดำเนินการอื่นใด ประกอบกับพวกเรามีเวลาเตรียมการประมาณไม่ถึง 1 เดือน ซึ่งเป็น 1 เดือนที่ช่างโกลาหลและวุ่นวาย ด้วยกลัวว่างานที่ออกมาจะไม่ประสบผลสำเร็จตามที่มุ่งหวัง ทุกคนจึงทุ่มเท ทุ่มเท และทุ่มเท กับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ เพราะนั่นหมายถึงความสำเร็จของโครงการที่เราจัดขึ้นเป็นครั้งแรก....ต้องชมเชยทีมงานทุกคน เก่งจริงๆ ที่ช่วยกันจนโครงการนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
วันที่ดำเนินการเสวนา ผู้เขียนเองในฐานะที่เป็นวิทยากรร่วมกับผู้อำนวยการกองบริการการศึกษา หัวหน้างานทะเบียนนิสิตฯ และผู้รับผิดชอบในฝ่ายคอมพิวเตอร์ มีภารกิจที่ต้องรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่อีกสิ่งหนึ่ง คือ การต้องนำเสนอโครงร่างวิทยานิพนธ์ของที่เรียนอยู่ในภาคเช้า จริงๆ แล้วโครงการนำเสนอโครงร่างวิทยานิพนธ์ ท่านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดิเรก ธีระภูธร อาจารย์ในภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา จัดไว้ทั้งวัน ผู้เขียนเองความจริงต้องการอยู่ทั้งวัน เนื่องจากได้รับความรู้เกี่ยวกับงานวิทยานิพนธ์ของเพื่อนๆ ทั้ง ป.เอก และ ป.โท แต่ความที่ต้องเป็นวิทยากรร่วมในงานเสวนาฯ ดังกล่าว จึงอยู่ได้แค่นำเสนอโครงร่างของตนเอง แล้วก็ต้องรีบกลับมาที่มหาวิทยาลัย (เพราะท่านอาจารย์ดิเรก จัดโครงการในเมือง ซึ่งห่างจากมหาวิทยาลัยต้องใช้เวลาขับรถประมาณ 30 นาที) ท่ามกลางความวิตกกังวลของเพื่อนร่วมงาน เพราะเสวนาฯ เริ่มบ่ายโมง ผู้เขียนกลับมาถึงมหาวิทยาลัยก็เกือบเที่ยงครึ่งแล้ว .....
บรรยากาศของงานเสวนาฯ เป็นไปด้วยความเป็นกันเองของทีมวิทยากรและผู้เข้าร่วมเสวนา เนื่องจากได้ผู้ดำเนินรายการเสวนาที่เป็นมืออาชีพจริงๆ คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ประภาษ เพ็งพุ่ม ท่านเป็นอาจารย์ในสาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ ที่ให้เกียรติมาเป็นผู้ดำเนินรายการให้ ด้วยความที่เป็นมืออาชีพอย่างที่กล่าวไว้ ทำให้บรรยากาศของการเสวนาเป็นไปด้วยความชื่นมื่น มีผู้เข้าร่วมซึ่งมีทั้งอาจารย์ บุคลากร นักวิชาการศึกษาของคณะ และนิสิต ประมาณ 400 คน ซึ่งถือว่าไม่มาก ไม่น้อยเกินไป สำหรับการเสวนาฯ การเปิดประเด็นด้วยการให้วิทยากรพูดถึงขอบข่ายของงานในความรับผิดชอบอย่างกะทัดรัด หลังจากนั้นผู้ดำเนินรายการพาเข้าสู่บรรยากาศการเสวนาฯ โดยการถามคำถามที่รวบรวมได้จากอาจารย์ บุคลากร และนิสิต ซึ่งคำถามแต่ละคำถามล้วนแล้วแต่เป็นคำถามที่พวกเราพบอยู่เสมอๆ แต่ไม่มีโอกาสที่จะตอบคำถามให้กับสาธารณชนได้รับทราบ เนื่องจากเป็นการถามรายบุคคล มาวันนี้ทุกคนที่ได้เข้าร่วมเสวนา ต่างได้ฟังคำตอบที่ถือว่าช่วยให้เข้าใจในเรื่องต่างๆ ที่ตนเองคับข้องใจเกี่ยวกับกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียนของตนเองมากขึ้น ซึ่งพวกเราหวังว่า คำตอบเหล่านี้จะถูกนำไปขยายผลโดยผู้เข้าร่วมเสวนา แล้วนิสิตหรือผู้เกี่ยวข้องจะได้เข้าใจในปัญหาที่ตนเองสงสัยหรือประสบอยู่ได้บ้าง....
เวทีเสวนา ปิดลงด้วยคำถามที่ทีมงานของพวกเราต้องการทราบเป็นอย่างยิ่ง คือ “ผู้เข้าร่วมเสนา คิดเห็นอย่างไรกับการจัดโครงการในครั้งนี้ แล้วตนเองได้รับความรู้อะไรกลับไปใช้กับตนเองบ้าง” น้องนิสิตซึ่งเป็นประธานนิสิตสาขารัฐศาสตร์ เป็นผู้กล้าที่ออกมาแสดงความคิดเห็นให้พวกเราทราบ น้องให้แนวคิดที่ดีว่า “โครงการนี้ถือว่าเป็นโครงการที่ดีมาก เพราะได้เปิดโอกาสให้นิสิตได้เข้าใจเกี่ยวกับปัญหาที่ตนเองประสบอยู่ รวมถึงแนวทางแก้ไขปัญหา แต่ที่ต้องการให้พี่ๆ ในงานทะเบียนฯ ปรับปรุงคือ การประชาสัมพันธ์ ที่ควรต้องประชาสัมพันธ์ให้มากกว่านี้ เนื่องจากนิสิตบางคนไม่ทราบว่ามีโครงการนี้ รวมถึงการจัดโครงการ ที่ควรจะจัดให้บ่อยขึ้น อย่างน้อยปีละ 2-3 ครั้ง...”
นับว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นที่ดีมาก ทำให้พวกเราได้แนวคิดไปปรับปรุงการดำเนินงานโครงการในครั้งต่อไป ซึ่งอาจจะเป็นการดำเนินงานโครงการภาคเรียนละ 1 ครั้ง ถ้าเป็นไปได้... เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่ทำให้พวกเราเหนื่อย หากแต่งบประมาณที่เราเขียนเสนอไปสำหรับการดำเนินงานโครงการ บางครั้งได้รับในจำนวนจำกัด แต่ก็พยายามที่จะหางบประมาณเพื่อดำเนินการให้ได้อย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้ง ตามที่น้องนิสิตเสนอแนะ ซึ่งงานนี้ น้อง ๆ ในงานทะเบียนฯ กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “...ทำได้ค่ะ...แต่พี่ยุต้องเหนื่อยกับการหางบประมาณหน่อยนะ...” ไม่เป็นไรหรอก จะพยายามหางบประมาณสำหรับทำโครงการนี้ ซึ่งปีงบประมาณ 2550 นี้ ก็ไม่ทราบว่าจะได้มาเท่าไหร่ ก็ลุ้นกันต่อไปนะพวกเรา....
ไม่มีความเห็น