บันทึกครูนิธิ-ความทรงจำที่งดงาม
ความทรงจำที่งดงามเกี่ยวกับครู ที่ยังเบ่งบานและงดงามในใจ เป็นต้นแบบสำคัญ ที่ให้ยึดถือและเป็นแนวทางในการปฏิบัติตน จนเป็นคนและเป็นครูจนทุกวันนี้ มีมากมายหลายเรื่อง และต้องขอกราบขอบพระคุณคุณครูทั้งหลายที่เคยได้อบรมสั่งสอนมาตั้งแต่อนุบาลจนจบอย่างทุกวันนี้ มาเป็นครูจึงรู้ว่าใจจริงของครูไม่ได้ต้องการให้ใครมาตอบแทนด้วยสิ่งของหรือเงินทอง แค่ได้ยินข่าวว่าลูกศิษย์ที่ตนเคยสอนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีชีวิตที่มีความสุข ก็เติมพลังน้ำทิพย์ให้กับคนอาชีพครูได้ยืนหยัดสอนต่อได้แล้ว
ความทรงจำที่งดงามในช่วงประถม มีความทรงจำที่งดงามมีหลากหลายเรื่อง ที่ครูหลาย ๆ คนได้ทำให้เราเป็นคน เป็นครู และเป็นแบบอย่างให้ดำเนินตามจนทุกวันนี้
ในช่วงที่เรียนประถม 2 จัดว่าเป็นเด็กที่ฉลาดน้อยมาก ไม่ทันคน ไม่ตั้งใจเรียนเท่าที่ควร ห่วงเล่นมากกว่าเรียน ขี้กลัว ไม่มั่นใจในตนเองเลย จำได้ว่ามีครูท่านหนึ่งถามว่า
“จังหวัดของเราอยู่ติดกับจังหวัดอะไรบ้าง?”
เพื่อน ๆ หลายคนตอบได้ แต่เราตอบไม่ได้ ไม่รู้ว่าคำว่าจังหวัดมันคืออะไร ใหญ่แค่ไหน มันใช่ประเทศไหม มันต่างกันอย่างไร ถ้าให้ตอบก็คงตอบ
“ลาวกับพม่า” หรือไม่ก็ “โรงพักกับตลาด”
ครูท่านนี้ก็ใจดีมาก คงรู้ว่าลูกศิษย์ฉลาดน้อย ท่านก็ไปเอาแผนที่มาให้ดู ครั้งแรกที่เห็น งง! อะไร? ไม่รู้จัก มีเส้นมีขีดยึกยือไปหมด ครูคงเห็นเขาที่หัว ก็เลยเปิดหน้าต่อไป เป็นรูปโครงแผนที่ประเทศไทยแบ่งเป็นภาค แยกสีสวยงาม ให้นักเรียนวาดตามแผนที่ประเทศไทย ให้ลงรายละเอียดว่า
....นี่คือประเทศไทย ประเทศของเรา... ภาคนี้ชื่ออะไร?
.....มีประเทศอื่นที่ไม่ใช่ของเราอยู่รอบ ๆ ชื่อประเทศอะไรบ้าง.... .ใส่สีคนละสีนะ พอกิจกรรมนี้ผ่านไป ชั่วโมงต่อมาก็เอาแผนที่ประเทศไทยที่มีรายละเอียดของจังหวัดมาให้ดูอีก แล้วก็ชี้ให้เราดูว่า
....นี่ประเทศไทย ประเทศของเรา ในประเทศถูกแบ่งออกเป็นจังหวัด มีกี่จังหวัด....
..... บ้านเราอยู่ตรงไหน? จังหวัดอะไร? ตรงไหน?....
....รอบ ๆ ที่เราอยู่มีจังหวัดอื่นอยู่ด้วย ชื่อจังหวัดอะไรบ้าง....
ไม่รู้ว่าครูใช้เวลาคิดแผนการสอนนี้นานเท่าไหร่ ใช้เวลาในการค้นข้อมูลนานแค่ไหน ใช้งบประมาณซื้อแผนที่หมดไปกี่บาท เด็ก ๆ ออกไปยืนชี้ ยืนดู คุยกันอย่างนั้น อย่างนี้วุ่นวาย ครูก็ไม่ดุซักคำ ยืนยิ้ม แถมชวนเด็กคุยอีกต่างหาก
“ใครเคยไปจังหวัดนี้บ้างไหม?”
“เหรอ! หนูเคยไปหรือลูก ไปกับใคร? ไปหาใคร?ไปรถอะไร? ไปเที่ยวมาเหรอ? เที่ยวที่ไหน? จำชื่อได้ไหม? เป็นอย่างไร? เล่าให้ฟังซิ”
บางคนก็ยกมือส่งเสียงว่าเคยไป อย่างนั้นอย่างนี้ เด็กบางคนรวมทั้งตัวเองด้วย ยืนเงียบ ๆ เพราะไม่รู้จัก ไม่เคยออกนอกพื้นที่ จัดอยู่ในกลุ่มเด็กในกะลา ได้แต่ยืนฟังตาปริบ ๆ อิจฉาหน่อย ๆ ทำไม! ทำไม!เพื่อนรู้จัก ดูสิคุยใหญ่เชียว เราคุยไม่ได้เพราะไม่รู้ เพิ่งรู้จากเพื่อนในห้องคุยกับครูนี่แหละ
ดังนั้นจึงเห็นด้วยกับการจัดทัศนศึกษาให้เด็ก ๆ เป็นการเปิดกะลาให้เขา เขาจะได้เห็นโลกที่กว้างขึ้น เขาจะได้รู้ว่ายังมีอะไรอีกมากที่เขาต้องเรียนรู้ จะเห็นได้จากลูก ๆ พอโรงเรียนมีการจัดทัศนศึกษาต่างจังหวัด เขาจะเอาแผนที่ประเทศไทยมากาง แล้วดูว่าจังหวัดที่เขาจะไปทัศนศึกษาอยู่ตรงไหนของแผนที่ เขาจะหาความรู้ว่าที่เขาจะไปมีอะไรบ้าง เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างเพื่อน ระหว่างครูกับลูกศิษย์ ...นอกเรื่องไปหน่อย
ย้อนกลับไปที่ครูท่านนี้ สิ่งที่ท่านคุยกับเด็กมันคือความรู้ที่ไม่มีในตำราเรียน เกิดจากความรู้ที่เป็นประสบการณ์ของเด็ก ๆ ทำให้เด็กมีส่วนร่วมในการเรียน ทำให้เด็กมีความสำคัญ สิ่งนี้ยังจำได้และนำมาใช้ทุกวันนี้ บางครั้งเราต้องยอมให้เด็กเป็นครูในชั้นเรียนบ้าง บางครั้งเราต้องเรียนรู้จากเด็ก อย่ายืนสอนอยู่คนเดียวหน้าชั้นเรียน
ขอกราบครูผู้นั้นด้วยคน ...นี่แหละที่เขาเรียกว่า เมตตา ...ซึ่งครูไทยในอดีตมีมาก แต่วันนี้ มันหายไปมาก เพราะตามฝรั่งมากไป เอาระบบแข่งขัน คัดออกมาใช้