การตรวจวัดเสียงในสิ่งแวดล้อม
เพื่อประเมินสภาพปัญหามลพิษทางเสียงในสิ่งแวดล้อม ว่าระดับเสียงในพื้นที่นั้นอยู่ในระดับที่อันตรายหรือไม่ ข้อมูลที่ได้จะใช้ในการประเมินสภาพปัญหา และสถานการณ์มลพิษทางเสียง เพื่อนำไปสู่การกำหนดมาตรการป้องกันแก้ไขปัญหา โดยที่มาตรฐานระดับเสียงทั่วไปในสิ่งแวดล้อม จะพิจารณาจากค่าระดับเสียงเฉลี่ย 24 ชั่วโมง และค่าระดับเสียงสูงสุดจะต้องไม่เกิน 70 และ 115 เดซิเบล เอ ตามลำดับ หากระดับเสียงเกินจากนี้จะทำให้บุคคลที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น มีความเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบทางเสียงที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และอาจเสื่อมเสียระบบการได้ยินเร็วกว่าบุคคลที่อาศัยในพื้นที่ที่ระดับเสียงไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน
อุปกรณ์ที่ใช้ตรวจวัดระดับเสียง ประกอบด้วย
การตรวจวัดระดับเสียง
1. หลังจากกดปุ่ม Power แล้วจะต้องปรับค่าเครื่องวัดระดับเสียง โดยใช้เครื่องปรับเทียบระดับเสียงทุกครั้งก่อนใช้งาน
2. เลือกค่าการวัดระดับเสียง โดยใช้วงจรถ่วงน้ำหนัก A (A-Weighting Network)
3. กรณีเสียงที่จะวัดมีระดับเสียงคงที่ ให้ใช้ความไวในการตอบสนองของเครื่องวัดระดับเสียงแบบ Fast หรือ Slow ก็ได้ แต่หากลักษณะเสียงมีการเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน ให้ใช้ความไวในการตอบสนองของเครื่องวัดระดับเสียงแบบ Fast และหากระดับเสียงมีเสียงกระแทก ให้ตั้งค่าเครื่องวัดแบบ Impulse
4. ตั้งค่าการตรวจวัด โดยให้เครื่องวัดระดับเสียงบันทึกข้อมูล ค่าระดับเสียงเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ค่าระดับเสียงสูงสุด ค่าระดับเสียงต่ำสุด ทำการตรวจวัด เป็นเวลา 24 ชั่วโมง (โดยเครื่องดังกล่าวสามารถบันทึกการตรวจวัดระดับเสียงอย่างต่อเนื่องได้ถึง 24 ชั่วโมง)
5. หลังจากเสร็จสิ้นการตรวจวัดระดับเสียง ต้องปรับเทียบค่าระดับเสียง โดยใช้เครื่องปรับเทียบระดับเสียง เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่องวัดระดับเสียง ว่าตรวจวัดระดับเสียงอย่างมีประสิทธิภาพตลอดการดำเนินงาน ไม่เกิดชำรุด หรือทำงานผิดปกติ ระหว่างดำเนินการตรวจวัดระดับเสียง
6.นำข้อมูลค่าระดับเสียงที่ตรวจวัดได้มาวิเคราะห์ว่าค่าที่ตรวจวัดได้มีค่าเกินกว่าค่ามาตรฐานระดับเสียงโดยทั่วไปหรือไม่ รายละเอียดกล่าวแล้วข้างต้น
รูปจ้ารูปอยู่หนาย