การคิดเชิงสังเคราะห์
การมีชีวิตอยู่ท่ามกลางโลกแห่งวัตถุนิยมนี้ เราจะมีโอกาสพบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่โดนใจผู้ใคร่เสพหรือแสวงหามาเพื่อสนองความต้องการของตนนั้นมีอยู่มากพอที่จะให้เขาเหล่านั้นตกอยู่ในโลกของมายาภาพ และหลงใหลต่อคำโฆษณาชวนเชื่อเหล่านั้น แต่สำหรับผู้ที่ฉลาด เมื่อพบเห็นสิ่งใด เขาจะมองลึกลงไปให้เห็นถึงว่าสิ่งนั้น แม้จะใหม่ในรูปแบบแต่ยังเก่าในส่วนประกอบ เพราะผู้ที่คิดเชิงสังเคราะห์เก่งจะมีญาณ ( การรู้แจ้งในวิธีการคิดเชิงสังเคราะห์ ) ที่จะรู้เท่าทันถึงเรื่องราวเหล่านั้นได้ จึงไม่ตกเป็นทาสของภาพมายาทั้งหลาย
ทุกวันนี้การโฆษณาชวนเชื่อเพื่อขายสินค้ามีมากมาย และสินค้าแต่ละอย่างที่มาโฆษณานั้น ถ้าเรารู้ไม่เท่าทัน เราจะคิดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เพราะเปลี่ยนรูปแบบ เปลี่ยนสี และเปลี่ยนกลิ่น แต่เมื่อดูองค์ประกอบโดยรวมก็จะเห็นว่า นั่นคือ ของอย่างเก่าเพิ่มใหม่เล็กน้อย แล้วแปลงโฉมให้ดูใหม่ เรียกว่า หลอมรวมส่วนประกอบย่อย สร้างรูปลักษณ์ใหม่ก็เท่านั้นเอง
ผู้เขียนเคยฝึกให้นักเรียนดูธรรมชาติจนเห็นความเป็นจริงในสิ่งที่ดู เช่น ให้ดูวัวกินหญ้า วัวถ่ายออกมาเป็นมูลวัว นำไปทำปุ๋ยผัก เรานำผักมากิน ถามว่าเรากินอะไรเข้าไปบ้าง คนที่คิดเชิงสังเคราะห์ไม่เป็นก็จะตอบว่ากินผัก แต่คนที่คิดเชิงสังเคราะห์เป็นก็จะตอบสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน โดยสรุปว่า ทุกอย่างถูกสังเคราะห์มาเป็นผัก
ผู้เขียนจำบทกวีของเด็กชายบราฮะรี ได้ เธอเขียนว่า
ใบไม้หล่น
กวาด
หล่น
กวาด
หล่น
กวาด
ผลิใบใหม่ออกมา
และเด็กหญิงฮายาตี เขียนเรื่องใบไม้ว่า
ใบไม้
ร่วง
เพื่อผลิใบใหม่
เด็กทั้งสองคนนี้ ได้รับการฝึกให้คิดเชิงสังเคราะห์และวิเคราะห์มาจนคิดเป็นจึงนำมาเขียนเป็น
การคิดเชิงสังเคราะห์จึงเป็นการคิดแบบเพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ทุกอย่างเชื่อมโยงกันตามกฎของ อิทัปปัจจยตา
การคิดเชิงสังเคราะห์นั้นมีสองรูปแบบ คือ รูปแบบแรกนั้น เป็นรูปแบบที่สังเคราะห์แบบหลอมรวมส่วนประกอบเข้าด้วยกันจนไม่เห็นส่วนปลีกย่อยในสิ่งใหม่นั้น เช่น เรารับประทานยาเข้าไป 1 เม็ด เราไม่เห็นว่า ในตัวยานั้นมีสมุนไพรอะไรผสมอยู่บ้าง ทุกอย่างถูกบดอัดเป็นเม็ดเรียบร้อย ต่อเมื่อได้อ่านฉลากยาจึงรู้ว่า มีสมุนไพรกี่ชนิดที่นำมาผสมผสานกันจนเป็นยาขนานนั้น นี่เรียกว่า หลอมรวมองค์ประกอบย่อยให้เป็นของใหม่โดยไม่เห็นรูปลักษณ์เดิม
แบบที่สอง ที่มองเห็นง่าย ๆ ตรงวิธีสอนของคุณครู ถ้าดูให้ดีในกิจกรรมการสอนแบบหนึ่ง ๆ นั้น ซ่อนวิธีการเก่าๆ ไว้มากมาย เพียงแต่นำมาจัดเรียงอันดับใหม่ เพิ่มกิจกรรมเข้าไปอีกสักอย่างสองอย่าง สร้างบทสรุปใหม่ ตั้งชื่อวิธีการสอนใหม่ก็กลายเป็นทฤษฎีใหม่ขึ้นมา แต่ความจริงยังเห็นร่องรอยเดิมอยู่ ถ้ามองให้เด่นชัดหรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ส้มตำ เราจะเห็นส่วนประกอบที่นำมาปรุงแต่งชัดเจนว่ามีอะไรบ้าง แต่รสชาติเปลี่ยนไป จึงให้ชื่อใหม่ว่าส้มตำ เพราะสิ่งเหล่านั้นนำมาตำรวมกัน อย่างนี้เรียกว่าของใหม่ที่มองเห็นส่วนประกอบเดิมอยู่อีก
อีกตัวอย่างหนึ่ง เด็ก ๆ นำรายงานผลโครงงาน 4 ชิ้นงานมาดูองค์ประกอบร่วม แนวคิดและผลสรุปของแต่ละชิ้นงาน แล้วคิดโครงงานชิ้นที่ 5 ขึ้นโดยใช้วัสดุตัวเดิมจาก 4 ชิ้นงาน หลอมแนวคิดเข้าด้วยกันรังสรรค์ให้เป็นแนวคิดใหม่ ตั้งชื่อใหม่ ตั้งจุดประสงค์ใหม่ ทดลองจนได้คำตอบมาเป็นผลงานใหม่ แต่เวลารายงานนำวัสดุแบบเนื้องานเก่า ๆ มานำเสนอประกอบผลงานที่เกิดใหม่ ผู้ชมมองเห็นองค์ประกอบของงานเก่าเชื่อมโยงกับผลงานใหม่ได้ชัด เว้นแต่อยู่ในรูปแบบงานชิ้นใหม่ เรียกว่า นำของเก่ามาคิดสร้างงานใหม่
ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างให้เห็นนี้จะพบว่า การคิดเชิงสังเคราะห์นั้นมี 2 รูปแบบ คือ
รูปแบบที่ 1 เป็นการสังเคราะห์จากการนำส่วนประกอบหลายอย่างมาหลอมรวมกันเข้าจนเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เดิมมาสู่รูปลักษณ์ใหม่ แทบจะมองไม่เห็นภาพเดิมของส่วนประกอบ
รูปแบบที่ 2 นำส่วนประกอบเดิม ๆ มาหลอมรวมกันเข้าจนกลายเป็นของใหม่ แต่ยังคงเห็นเค้าโครงเดิมอยู่
แต่นั่นแหละ การคิดเชิงสังเคราะหให้ได้ผลดีนั้น ผู้คิดจะต้องคิดเชิงวิเคราะห์ได้ และคิดเป็นด้วย เพราะทั้งสองอย่างนี้เนื่องกันอยู่
จากตัวอย่างที่ยกมาให้เห็นในตอนต้น คิดว่าท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจคำว่า คิดเชิงสังเคราะห์กันบ้างแล้ว เพื่อให้แน่ชัดมากยิ่งขึ้น ขอยกคำกล่าวของ ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ( 2545 ) ที่กล่าวถึงความหมายของคำนี้ว่า
“การคิดเชิงสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการคิดถึงองค์ประกอบต่าง ๆ มาหลอมรวม หรือถักทอภายใต้โครงร่างใหม่อย่างเหมาะสม ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้” นั่นคือ ก่อนที่เราจะคิดสังเคราะห์อะไร เราต้องตั้งจุดประสงค์เอาไว้ก่อนว่า
เมื่อเราได้คำถามทั้ง 4 ข้อแล้ว เราก็เจาะคำถามลึกลงไปในเรื่องที่จะสังเคราะห์ว่า
1. ถ้าจะสังเคราะห์สิ่งใหม่จากสิ่งเก่า เราก็ตั้งคำถามลึกลงไปว่า
1.1 มีอะไรดี ๆ จากของเดิมบ้าง
1.2 จะมาหลอมรวมให้เป็นของใหม่อะไร อย่างไร
1.3 จะตั้งชื่อสิ่งใหม่นี้ว่าอะไร
2. ถ้าจะสรุปเรื่องที่กระจัดกระจายมาเป็นเรื่องใหม่ เราก็ตั้งคำถามเจาะลึกลงไปว่า
2.1 มีประเด็นใดซ้ำกันบ้าง
2.2 มีความคิดใดที่สามารถเชื่อมโยงเข้าด้วยกันได้
บ้าง
2.3 ความคิดที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน จะขมวดให้เข้า
กันได้อย่างไร
2.4 เราจะจัดระเบียบข้อมูลใหม่ให้ตรงกับ
วัตถุประสงค์ได้อย่างไร
จะเห็นได้ว่า ประเด็นคำถามนี้ ผู้เขียนได้ว่างไว้ให้เห็นเป็นภาพกว้าง แต่ถ้าอยู่ในสถานการณ์นั้น ๆ ภาพของคำถามจะสามารถเจาะลึกได้ตรงเรื่องนั้น ๆ ได้มากที่สุด นั่นคือในการคิดเชิงสังเคราะห์ ครูควรจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้เผชิญกับปัญหาเหล่านั้นแล้วแก้ปัญหานั้นให้ได้สำเร็จ
อ่านเป็นเล่มได้ที่นี่ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น