พลังทวีคูณของการจัดการเป็นกลุ่มและการดึงศักยภาพอย่างบูรณาการของปัจเจกออกมาใช้อย่างเต็มที่ เป็นสมมุติฐานอย่างหนึ่งของการทำงานแนวราบและการจัดการแบบพลวัตรของเครือข่ายที่ซับซ้อนว่า ปัจเจก ประชาชน และพลเมือง ที่มีจิตใจเอื้ออาทรต่อเรื่องส่วนรวมหรือการร่วมทุกข์สุขกันของเพื่อนมนุษย์ ลงมือปฏิบัติและร่วมแรงใจกันด้วยคุณธรรมอาสาส่วนตน (Voluntary action) แล้วสามารถเป็นพลังจัดการ พอเพียงแก่การสร้างสรรค์ความเปลี่ยนแปลงเรื่องต่างๆ ของสังคมและชุมชนได้อย่างไร
การเรียนรู้การปฏิบัติที่สะท้อนการมีจิตสำนึกต่อเรื่องส่วนรวม ซึ่งขัดเกลาให้ปัจเจกสามารถพัฒนาตัวตนเข้าสู่การสร้างพื้นที่สังคมเพื่อการมีสุขภาวะร่วมกัน เปิดรับความแตกต่างหลากหลาย พร้อมๆ กับมีอิสรภาพทางปัญญาและความเป็นตัวของตัวเอง มีความพอดีของจุดหมายส่วนตนและส่วนรวม จึงเป็นการเรียนรู้ที่มีความหมาย ทั้งต่อการขับเคลื่อนพลังจิตอาสา และการพัฒนาความสัมพันธ์แนวราบให้เกิดขึ้นผ่านการจัดระเบียบตนเอง (Self-organized) ให้เหมาะสม ระหว่างการได้ปฏิสัมพันธ์ทางปัญญาจากการปฏิบัติของตนเองโดยตรง
แนวทางดังกล่าว สามารถออกแบบและจัดกระบวนการเรียนรู้ในวิถีประชาคมด้วยเช่นกัน โดยการนำเอาประสบการณ์มาคิดใคร่ครวญ ตรวจสอบ ช่วยกันวิเคราะห์ ตกผลึก ค้นหาปัญญาและแรงบันดาลใจใหม่ๆ ที่มีความลุ่มลึกและสะท้อนการยกระดับการพัฒนาตนเองมากยิ่งๆขึ้นของปัจเจก...
ทีมจัดการ ซึ่งประกอบด้วยทีมนักวิจัยสหสาขา จากคณะพยาบาลศาสตร์ศิริราช คณะเทคนิคการแพทย์ และสถาบันพัฒนาการสาธารณสุขอาเซียน ของมหาวิทยาลัยมหิดล ทีมนักวิจัย และทีมผู้ช่วยนักวิจัย ได้ช่วยกันตีโจทย์ดังกล่าว สู่การจัดกระบวนการของเวที..
(1) พื้นที่ เป็นอย่างไร
(2) มีจุดเปลี่ยนแปลง อะไร (ที่น่าสนใจและถอดบทเรียนมาแลกเปลี่ยนกัน) สภาพก่อนและหลังจุดเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เป็นอย่างไร
(3) กลุ่มคน (ที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปง) เป็นมาอย่างไร
(4) องค์ความรู้ และ บทเรียน ที่ได้ เป็นอย่างไร
ประเด็นคำถามเพื่อการถอดบทเรียนแบบนี้ เป็นแนวทางการวิเคราะห์โดยวิธีปรากฏการณ์วิทยา(Phenomenology) มีตัวคนสร้างเหตุการณ์ (Social Actors) มีองค์ความรู้จากการปฏิบัติ และสามารถเป็นรายละเอียด ถ่ายทอดสื่อสารกันไปในตัว สร้างทฤษฎีจากการปฏิบัติด้วย และได้เรื่องเล่าอย่างเป็นระบบด้วย
โดยกระบวนการแล้ว อาจจะเป็นความรู้และทฤษฎีที่แตกต่างจากการสร้างขึ้นโดยกรรมวิธีซึ่งเน้นความรู้เพื่อความรู้ ทว่า จัดว่ามีคุณค่าอย่างยิ่ง ตรงที่เป็นความรู้และทฤษฎีของผู้ที่ปฏิบัติ เชื่อมโยงอยู่กับการปฏิบัติ สะท้อนรูปการณ์ทางจิตสำนึก กระบวนการคิด และการดึงออกมาใช้ในโลกความเป็นจริง ซึ่งเรียนรู้และพัฒนาให้งอกงามต่อไปได้
ทั้งทีม ประชุมกันหลังการเสร็จสิ้นกิจกรรมเวทีประจำวัน จาก 4 ทุ่มถึงเกือบตีหนึ่ง โดยหลังจากการถอดบทเรียนรายวัน สะท้อนความคิดเห็น และต่างให้ข้อแนะนำกันด้วยความเป็นกัลยาณมิตรแล้ว ก็ช่วยกันระดมความคิด วางแผนปรับกระบวนการในวันรุ่งขึ้น จัดสถานที่ บรรยากาศ และสภาพแวดล้อม ซึ่งในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็มาช่วยกันจัดในรายละเอียดอีกรอบ
กระบวนการทั้งหมดในวันที่สอง ออกแบบเพื่อดำเนินการอย่างพิถีพิถัน ผมเองก็ได้เรียนรู้พลังของทีมมากเป็นอย่างยิ่ง คือ.....
การตั้งประเด็นและคำถาม รวมทั้งการจัดกระบวนการเพื่อการถอดบทเรียน จัดว่าเป็นหัวใจของการจัดเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างพื้นที่ ของ 14 ชุมชน-เทศบาล ที่เข้าร่วมในครั้งนี้เลยทีเดียว.
ไม่มีความเห็น