เมื่อเอ่ยถึงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คนมักคิดถึงความสามารถระดับปัจเจก (Individual Creativity) และมักคิดถึงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ระดับก้าวกระโดด ระดับที่คิดแหวกแนวไปไกล และเป็นคุณสมบัติที่น้อยคน น้อยในระดับหนึ่งในร้อย ในพัน หรือในล้าน ที่จะมีคุณสมบัตินี้ ความคิดแนวนี้ไม่ผิด แต่ไม่ครบ
ยังมีความคิดสร้างสรรค์อีกแบบหนึ่งที่ทรงคุณค่าไม่น้อยกว่าแบบแรก และในชีวิตประจำวันมีผลมากกว่าความคิดสร้างสรรค์แบบแรกหลายสิบหลายร้อยเท่า แต่เรามักนึกไม่ถึง คือความคิดสร้างสรรค์รวมหมู่ (Collective Creativity) ที่เริ่มจากการทดลองปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ ของคนหน้างานคนเดียวหรือกลุ่มเล็กๆ แล้วเอาผลและวิธีการมา ลปรร. กันภายใต้การจัดการให้มีจินตนาการร่วมที่ยิ่งใหญ่ ความคิดเล็กๆ เหล่านี้สามารถประกอบกันเข้าเป็นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ได้
เงื่อนไขสำคัญของความคิดริเริ่มสร้างสรรค์คือ (๑) ความเป็นอิสระ (๒) การมีโอกาสที่จะทดลองทำจริงๆ และ (๓) ความมีอิทธิบาท ๔ คือทำแบบกัดติดไม่ละลดท้อถอยแม้จะพบอุปสรรค
คนไทยมีความเข้าใจผิดเรื่อง ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องของการใช้ความคิดเป็นหลัก จริงๆ แล้วความคิดเป็นเพียงส่วนเดียว สิ่งที่สำคัญกว่าคือการทำ หรือปฏิบัติ หรือทดลอง และส่วนใหญ่มักต้องลองแล้วลองอีก มีการปรับปรุงวิธีการ จนในที่สุดเกิดผลงานสร้างสรรค์
ถ้าไม่มีผลเป็นรูปธรรมเขาเรียกว่าฝันเฟื่อง ต้องมีผลเป็นรูปธรรมจึงจะเรียกว่าความริเริ่มสร้างสรรค์ ดังนั้นในการริเริ่มสร้างสรรค์ต้องมีทั้งคิดและทำประกอบอยู่ด้วยกัน
การทำหรือทดลองแบบรวมกลุ่มกันทำ ใช้ team learning เอาความสำเร็จเล็กๆ มาต่อยอด ไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ คือการสร้างสรรค์รวมหมู่ ซึ่งก็คือ KM นั่นเอง
วิจารณ์ พานิช
๒๐ สค. ๔๙
่