การพยาบาลผู้ป่วยก่อนรับการผ่าตัด
การเตรียมและดูแลผู้ป่วยโดยทั่วไปก่อนรับการผ่าตัด
ซักถามหรือสอบถามข้อมูลต่างๆ ตลอดจนการสังเกตอาการต่างๆ ของผู้ป่วย
ประเมินค่าสัญญาณชีพ(vital signs)
เก็บ Specimens ส่งตรวจทางห้องทดลองตามแผนการรักษา
ให้ผู้ป่วยเซ็นชื่อยินยอมรับการรักษาโดยการผ่าตัดตามแบบฟอร์มที่กำหนดไว้
อธิบายถึงการการเตรียมตัวผู้ป่วยให้ถูกต้อง
5.1 การเตรียมผิวหนังก่อนการผ่าตัด
5.2 การเตรียมลำไส้ก่อนการผ่าตัด
5.3 การให้ยากล่อมประสาท
5.4 การงดน้ำและอาหารก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
5.5 การให้ยาก่อนระงับความรู้สึกก่อนการผ่าตัด
สอนและแนะนำการออกกำลังกายบนเตียง
6.1 การหายใจเข้าเต็มที่ช้าๆ และการหายใจออกยาวๆ
6.2 การออกกำลังขาทั้งสองข้างขณะพักอยู่บนเตียง
6.3 การพลิกตัวตะแคงซ้ายหรือขวา
การแนะนำให้ผู้ป่วยเกี่ยวกับการลุกเดินโดยเร็ว (Early ambulation)
การเตรียมและการดูแลผู้ป่วยในเช้าวันผ่าตัด
การตรวจเยี่ยมผู้ป่วยที่เตรียมการผ่าตัด ซักถามการพักผ่อนนอนหลับ การงดอาหารและน้ำหลังเที่ยงคืน ผลการสวนอุจจาระ(ถ้ามี) และสังเกตอาการทั่วไป ตลอดจนกิจกรรมการรักษาพยาบาลพิเศษที่ให้กับผู้ป่วย เช่น การคาสายยางสำหรับการสวนปัสสาวะ การให้อาหารแลน้ำทางหลอดเลือดดำ ฯลฯ
ตรวจดูความเรียบร้อยของผิวหนังบริเวณที่จะทำผ่าตัดว่าได้รับการทาผิวหนังด้วย Aseptic solutionในตอนเช้ามืดแล้ว
เก็บของมีค่า กิ๊บติดผม ฟันปลอม contact lens ฯลฯ จากตัวผู้ป่วยฝากไว้กับหัวหน้าตึกหรือพยาบาลประจำการ
บันทึกสัญญาณชีพ เพื่อประเมินสภาพการเปลี่ยนแปลงของตัวผู้ป่วย บันทึกไว้ในรายงานทางการพยาบาลสำหรับเปรียบเทียบในขณะที่ทำการผ่าตัด และบันทึกอาการและการรักษาพยาบาลที่ผู้ป่วยได้รับในรายงานทางการพยาบาลด้วย
ตรวจดูความเรียบร้อยของรายงานผู้ป่วย ตลอดจนผลการตรวจต่างๆ ตามแผนการรักษา
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาก่อนระงับความรู้สึก(pre-medication)
แนะนำให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะก่อนย้ายไปห้องผ่าตัด เพื่อให้กระเพาะปัสสาวะว่างในรายที่ไม่ได้สวนปัสสาวะสำหรับผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะไว้ให้ตวงปัสสาวะและเททิ้งพร้อมกับบันทึกในรายงานการพยาบาล
ช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยขึ้นเปลเข็นของห้องผ่าตัดเมื่อพนักงานเปลมารับผู้ป่วย และเตรียมของใช้ต่างๆให้ครบ พร้อมลงบันทึกลงในสมุดสิ่งส่งมอบทุกครั้ง
เตรียมเตียงของผู้ป่วยให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะรับผู้ป่วยกลับจากห้องผ่าตัด โดยทำเตียงแบบ Anesthetic bed และควรมีการปูผ้ายางขวางเตียงตรงกับบริเวณแผลผ่าตัดผู้ป่วยด้วย รวมทั้งเตรียมผ่าห่ม เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ผู้ป่วยหลังทำการผ่าตัด ซึ่งจะมักรู้สึกหนาว
การพยาบาลผู้ป่วยหลังการผ่าตัด
การพยาบาลหลังผ่าตัด แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้
การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัดทันทีหรือในระยะที่ฟื้นจากการได้รับยาระงับความรู้สึก (Immediate postoperative stage)
การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัดในระยะต่อมา (Extended postoperative stage or later postoperative stage)
การประเมินทางการพยาบาล
การประเมินสภาพผู้ป่วยมีความสำคัญมากที่จะทำให้ปลอดภัย สุขสบาย และช่วยไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ โดยที่พยาบาลที่ให้การดูแลผู้ป่วยหลังการผ่าตัดต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และมีทักษะในการประเมินสภาพผู้ป่วยหลังการผ่าตัดเช่นเดียวกับในระยะก่อนการผ่าตัด ดังนี้
ก. ความรู้สึกของผู้ป่วยต่อสภาวะความเจ็บป่วยหลังการผ่าตัด
ข. การประเมินทางด้านร่างกาย
1. การตรวจร่างกาย พยาบาลควรมีการประเมินผู้ป่วยโดยเรียงลำดับความสำคัญ ดังนี้
1.1 ทรวงอกและปอด
- สังเกตลักษณะการหายใจ ฟังเสียงของการหายใจ
- ตรวจนับอัตราการหายใจ
- คลำหลอดคอดู tracheal shift หลังผ่าตัด
1.2 หัวใจและหลอดเลือด
- วัดสัญญาณชีพ
- ตรวจดูภาวะซีด
- วัด CVP. (ถ้ามี)
- EKG.
1.3 อุณหภูมิ
ผู้ป่วยหลังการผ่าตัดในระยะแรก โดยปกติอุณหภูมิของร่างกายปกติ อาจพบได้ว่ามีอุณหภูมิลดลงต่ำกว่าปกติได้ใน 2 – 3 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัดและ บางรายอาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย หลังจากนั้นภายใน 24 – 48 ชั่วโมง ผู้ป่วยจะมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติได้ถึง 38° C หากมีไข้หลังวันที่ 3 ควรพิจารณาถึงการติดเชื้อ
1.4 บริเวณแผลผ่าตัด
- ตรวจดูแผลผ่าตัดทุก 15 นาทีแรกหลังการผ่าตัด เพื่อสังเกตการมีเลือดออก หรือ discharge ซึมจากแผลผ่าตัด ให้บันทึกจำนวน ลักษณะด้วย
- สังเกตลักษณะสี จำนวนของสารเหลวที่ออกจากท่อระบายต่างๆ
- สังเกตความผิดปกติของแผลผ่าตัด เช่น ลักษณะบวม แดง ร้อน ปวด เนื่องจากมีการติดเชื้อ แผลผ่าตัดแยก ฯลฯ
1.5 ระบบประสาท
ตรวจดู consciousness , orientation ของผู้ป่วยหลังได้รับการผ่าตัด โดยปกติผู้ป่วยมักจะรู้สึกตัวดีภายใน 24 – 72 ชั่วโมง นอกจากนั้นตรวจดูการเคลื่อนไหวของแขนขา รีแฟลกซ์ต่างๆ กำลังความตึงตัวของกล้ามเนื้อ ฯลฯ
1.6 ท้อง
ประเมินการเคลื่อนไหวของลำไส้แบบบีบรูดอย่างต่อเนื่องในระยะหลังผ่าตัด อาจประเมินทุก 4 – 8 ชั่วโมง เนื่องจากผลผลการได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย การขับถ่ายปัสสาวะ
สังเกตสี จำนวนของปัสสาวะที่ไหลออกมาจากสายยางสวนปัสสาวะที่ต่อกับถุงปัสสาวะ คลำดูการโป่งพองของกระเพาะปัสสาวะ กรณีที่ผู้ป่วยไม่ได้คาสายสวนปัสสาวะ ปกติควรถ่ายปัสสาวะได้เองภายใน 6 – 8 ชั่วโมง หลังจากได้รับยาระงับความรู้สึก
1.7ความสมดุลของสารน้ำและอิเล็คโตรไลท์
ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมักมีการสูญเสียเลือด สารเหลวในขณะทำการผ่าตัดและภายหลังการการผ่าตัดทางท่อระบายต่างๆ หรืออาจเกิดจากปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดจากการทำการผ่าตัด รวมทั้งการให้สารเหลวและอิเล็คโตรไลท์ทดแทนไม่เพียงพอ พยาบาลควรประเมินปริมาณ intake – output fluid
การพยาบาลหลังผ่าตัด
จัดท่านอน
การประเมินระดับความรู้สึกตัวในระยะแรกหลังการผ่าตัด
หาวิธีการสื่อสารอื่นๆกับผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาพูดได้
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงและการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ภายหลังการผ่าตัดที่สำคัญ ได้แก่
4.1 ภาวะอุดตันของทางเดินหายใจ
4.2 ภาวะตกเลือดและช็อก
4.3 ภาวะถุงลมปิดแฟบและปอดบวมเฉพาะที่
4.4 ภาวะเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึกของขาและความดันโลหิตต่ำ
4.5 ภาวะสะอึก ท้องอืด และลำไส้เป็นอัมพาต การปวดท้องจากแก๊ส
4.6 แผลผ่าตัดแยกจากกันบางชั้นและแผลผ่าตัดแยกจากกันทุกชั้น
4.7 การคั่งของน้ำปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะ และการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
4.8 แผลผ่าตัดมีการอักเสบติดเชื้อ
การบรรเทาความเจ็บปวดในระยะ 48 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด
การดูแลเกี่ยวกับการให้อาหารน้ำและอิเล็คโตรไลท์ให้อยู่ในภาวะสมดุล
ดูแลให้มีการระบายของสารเหลวออกทางท่อระบายต่างๆ
การดูแลด้านจิตใจ
การสอนและแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวขณะที่อยู่โรงพยาบาลและขณะอยู่ที่บ้าน
ไม่มีความเห็น