แมงปอล้อลม : กับความรักที่ลอยไปกับสายลม


แมงปอบ้านไร่ตัวนี้ล้อลมอยู่บ้านผมสี่ห้าวันแล้ว ก็ไม่รู้ว่ามันไปรับฝากความรักของใครมาถึงผมรึเปล่า เพราะความรักอาจลอยลมมากับแมลงปอแบบบทกวีวัยรุ่นที่ผมหยิบยกมา หรือจะเป็นคนรักที่กลายร่างมาเกาะบนบ่าเหมือนนิทานแมลงปอ แต่อย่างไรเสีย ก็อย่าลืมคำโบราณที่ว่า "ความรักทำให้คนตาบอด" นะครับ หรือใครที่กำลังมีความรักและอยากจะรักษามันไว้ตราบนิรันดร์ ขอบอกว่าน้ำต้มผักส่วนใหญ่ไม่หวาน คุณอาจกินแล้วหวาน แต่วันหนึ่งคุณจะรู้ได้เองว่ามันขมจริงๆ คุณต้องสำเหนียกสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา คุณจึงจะรักษามันเอาไว้ได้ แต่ก็อย่าลืมว่าคู่แต่งงานมากกว่า 70% จบลงด้วยการหย่าร้าง ฉะนั้น ถ้าคุณผิดหวังในความรัก ก็อย่าคิดมาก เพราะคุณเป็นคนธรรมดาๆ 7 ในสิบคน ไม่ใช่คนประหลาด 3 ในสิบที่เหลือ อย่าคิดมากเรื่องความรัก เพราะความรัก คำนี้ไม่เคยมีเหตุผล และไม่มีคำจำกัดความ แต่ก็ไม่ใช่ไม่คิดอะไรเลย เพราะนั่นเขาเรียกว่า "คนโง่"

คืนวานนี้ฝนตกลงมาให้ชุ่มฉ่ำหัวใจ โบราณเรียกฝนช่วงเปลี่ยนฤดูกาลนี้ว่า "ฝนชะช่อมะม่วง" ถ้าไม่มีฝนตกลงมาตอนนี้ช่อมะม่วงก็จะเป็นราดำ จำเป็นต้องพ่นยาหรือเอาน้ำฉีดให้ ทางการเรียกฝนช่วงต้นฤดูร้อนนี้ว่า "พายุฤดูร้อน" ซึ่งมักปั่นป่วนและมีลมกรรโชกพาต้นไม้หักโค่น ฉะนั้นก็ควรค้ำยันตัดแต่งทรงพุ่มต้นให้ให้โปร่งเข้าไว้ในช่วงนี้ รวมถึงดูแลความแข็งแรงของอาคารบ้านเรือนด้วย ฝนที่ปั่นป่วนเกิดเร็วและไปเร็วแบบนี้ บางทีเราก็เรียก "ฝนไล่ช้าง" แต่ยังไงก็เป็นเรื่องที่ดีที่ฝนตกลงมา จะได้ช่วยบรรเทาหมอกควันไฟที่ปกคลุมภาคเหนือรวมถึงพิษณุโลกบ้านผมนี้ลงบ้าง เพราะผมเองก็จะขาดใจตายอยู่แล้วกับหมอกควันพิษพวกนี้อยู่แล้ว สาเหตุที่ชาวบ้านเผาเผาเผาจนควันไฟพวยพุ่งช่วงนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นการปูพรมรอห่าฝน การเผาปูหรมก่อนฝนชะช่อมะม่วงแบบนี้ หลังจากฝนมาบริเวณที่เผาก็จะเกิดเห็ดโคน เกิดหญ้าอ่อนให้วัวควายหากิน มีบอดไม้แตกใหม่รวมถึงผักหวานป่าให้เก็บขาย แต่ไฟนั้นควบคุมยาก บางทีก็กลายเป็นไฟป่าใหญ่โต ส่วนการเผาไร่เผานานั้นลดลงไปมากแล้วไม่ใช่เพราะเกษตรกรใส่ใจกับคำแนะนำอะไร แต่เพราะฟางมันก็ขายได้ และเกษตรอินทรีกำลังได้รับความนิยม เกษตรกรจึงเลือกที่จะฝังกลบตอซัง ส่วนที่ยังเผากันอยู่ก็คือเกษตรกรที่ยากจนจริงๆและทำนาไม่ได้ผล จึงไม่มีเงินเหลือจะจ่ายค่ารถไถในการฝังกลบ จึงเลือกที่จะเผาเอาเช่นเก่าก่อน

แมลงปอบ้านใต้ผู้ม่วง (Trithemis aurora)

ช่วงหน้าหนาวมวลอาการหนาวเย็นจากไซบีเรียจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยเป็นช่วงๆ ก็เลยหนาวเย็นเป็นพักๆแล้วแต่กำลังของมวลอากาศ พอหมดฤดูกาลช่วงเปลี่ยนฤดูเป็นฤดูร้อน มวลอากาศเย็นถอยร่นอากาศร้อนจากแปซิฟิกก็ขยับขึ้นมาแทนที่ ทำให้อากาศร้อนและชื้น แต่มวลอากาศเย็นก็ยังไม่อ่อนกำลังลงเสียทีเดียว หากช่วงไหนแผ่ลงมาอีกก็จะเกิดการประทะเกิดภาวะอากาศปั่นป่วน ลมหมุน จึงเกิดฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ เสน่ห์ของสายลมร้อนจากแปซิฟิกก็คือ มันแรงและลอยบน อากาศร้อนจากพื้นจะพุ่งตัวขึ้นด้านบนเสมอ ทำให้ลมหน้าร้อนนั้นมีสภาวะที่เราเรียกว่า "ลมบน" เหมาะกับการเล่นว่าว เพราะว่าวจะชักง่ายและติดลมบนอยู่นาน

แมลงปอบ้านไร่ลายเลือน (Rhyothemi s obsolesce ns Kirby)

คิดถึงตอนเล็กๆ เห็นเขาเล่นว่าวก็อยากเล่น แต่เล็กเกินไปวิ่งว่าว ว่าวก็คงพังน่าเสียดาย ยายเลยเอากระดาษมาพับเป็นว่าว แล้วผูกเชือกสั้นๆไว้กับไม้ไผ่ ไว้ให้วิ่งเล่น ว่าวน้อยก็ลอยได้เหมือนกัน แต่เชือกก็ไม่ยาวพอจะติดลมบน แต่ว่าวก็เล็กและบอบบางเกิดกว่าจะสู้กับลมบนได้อยู่ดี

แมลงปอบ้านไร่ลายเลือน (Rhyothemi s obsolesce ns Kirby)

นอกจากว่าวแล้ว แมลงปอก็เป็นผู้หนึ่งที่ใช้สายลมร้อนให้เป็นประโยชน์ แมลงปอจะพากันบินลอยลมบน บางครึ่งจะมีกันอยู่มากมายเต็มท้องฟ้านับหมื่นตัวเลยทีเดียว เราเรียกว่า "แมงปอล้อลม" มันต่างจากแมงปอบิน เพราะมันจะร่อนไม่ค่อยกระพือปีกเหมือนเวลาปกติ เวลาอากาศนิ่งมันจะกระพือปีก แต่พอลมพักมาแรงๆมันจะกางปีกไว้เฉยๆท้าลม และลอยร่อนอยู่อย่างนั้น อย่างสง่างามสมชื่อ "Dragonfly" หรือ "มังกรบิน" ตรงกันข้ามกับบทกลอนเกี่ยวกับแมงปอบินทั้งหลาย ที่มักพรรณนาว่าการบินผ่าสายลมแรงของแมงปอนั้นเป็นอะไรที่ยากลำบาก แล้วเอามาเปรียบเปรยกันการต่อสู้ชีวิตของคนเรา จริงๆแล้วลมแรงแมงปอแทบจะไม่ต้องบินเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าลมสงบๆนะสิมันจะกระพือปีกและใช้พลังงานมหาศาลเลยในการพยุงตัวเองให้ลอยอยู่บนฟ้าได้

พูดถึงบทกวี ผมนึกถึงกลอนเปล่าบทหนึ่ง ที่เริ่มต้นว่า

แมงปอปีกบาง
เจ้ากางปีกสวย
ฝากบอกเค้าด้วย
คิดถึงเค้าจัง

ที่ได้ยินเสมอๆตอนเด็กๆ ไม่รู้มันเริ่มต้นมาจากไหน ก็น่าจะนิตยสารวัยรุ่น หรือหนังสือรวมบทกลอนที่นิยมกันในสมัยนั้น แต่สุดท้ายเด็กๆก็ติดกันซะจัง โดยเฉพาะสาวๆเอามาเขียนกลอนจีบหนุ่มกันมากมาย ต้องเขียนแบบนี้จริงๆนะครับ ขออภัยคุณสุภาพสตีด้วย แต่เราต้องยอมรับกันนะครับ ว่านานแล้วจนถึงวันนี้ ผู้ชายไม่ได้จีบผู้หญิงเท่าไร เห็นมีแต่สาวๆไล่จีบหนุ่ม หรือเห็นหนุ่มๆตีกันแย่งสาว แต่สาวตบกันแย่งหนุ่มนี่... ก็ดูคลิบที่ว่อนเน็ตเอาละกันว่าผมพูดจริงไหม แต่ความจริงก็คือความจริง... แม้ผู้หญิงไม่ชอบความจริง และด่าทอคนพูดความจริงเสมอๆก็ตามที แต่หากเราไม่เริ่มตนจากการยอมรับความจริง ก็ยากจะแก้ไขปัญหาอะไรได้ ตอนนี้ประเทศไทยคือแชมป์อันดับหนึ่งแห่งเอเซียแล้ว เรื่องการท้องในวัยใส และเอดส์ในวัยเรียน เด็กสาวๆท้องกันมากมาย น่าอับอายขายหน้าชาวโลกที่เราแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้ และปล่อยให้สถานะการแย่ลงทุกวัน ปัญหาท้องในวัยอันไม่สมควร ไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะครับ มันสร้างปัญหาระยะยาวอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ เด็กที่ท้องจะขาดโอกาสในการศึกษาและจบลงด้วยการเป็นประชากรด้อยคุณภาพ การขาดความพร้อมในการดูแลบุตรยิ่งไม่อาจสร้างเด็กให้เป็นคนมีคุณภาพของสังคมได้อีกด้วย ผมอาจใช้คำวิชาการมากไปถึงคำว่า "ประชากรด้อยคุณภาพ" แต่ถ้าจะขยายให้เห็นภาพชัดๆ ก็คือ คนที่จะโตขึ้นมาเป็น ผู้เสพ/ผู้ค้ายากเสพติอ อาชญากร และคนที่เกาะคนอื่นกิน นะครับ พวกนี้จะก่อปัญหาทั้งเศรษฐกิจและสังคมอย่างใหญ่หลวงและเรื้อรังยาวนาน

ฟังเรื่องโง่ๆของเด็กไทยมาแล้ว ฟังเรื่องโง่ๆของผู้ใหญ่แมลงปอกันบ้าง

*~นิทานแมลงปอ~*
มีเมืองเล็กๆ ที่สวยและสงบสุขเมืองหนึ่ง มีคู่รักคู่หนึ่งที่รักกันมาก
ทุกวันพวกเขาจะพากันไป ดู ชม พระอาทิตย์ขึ้นที่ชายหาด
และไปส่งพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ชายหาดตอนโพล้เพล้
ทุกคนที่เคยพวกเขาพบเจอจะมองด้วยสายตาอิจฉาในความรักของคนคู่นี้เสมอ..
 
แต่แล้ววันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุรถชนขึ้น
หญิงสาวผู้โชคร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส
เธอนอนเงียบๆ อยู่บนเตียงของโรงพยาบาล
 วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า เธอก็ยังคงไม่ฟื้นคืนมา
 
ตอนกลางวัน
 ชายหนุ่มจะมาเฝ้าอยู่ที่หน้าเตียง
ร้องเรียกคนรักของเขาเสมอ ทั้งๆ ที่เธอไม่ตอบสนองใดๆ เลย
 
ตกกลางคืน
 ชายหนุ่มจะไปสวดภาวนาอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าที่โบสถ์นอกเมือง
 เขาร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้ง ไม่มีจะไหลออกมาอีกแล้ว
 
ผ่านไป 1 เดือน
หญิงสาวยังคงหลับใหลไม่ฟื้นเหมือนเดิม
 ส่วนชายหนุ่มก็ดูจะซูบเซียวขึ้นทุกวัน
 แต่ก็ยังคงสวดอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอไม่หยุด
 
 แต่แล้ววันหนึ่ง
 พระผู้เจ้าก็เกิดเห็นใจในรักของชายหนุ่ม
 และตกลงที่จะ(ประทาน)พรให้แก่เขา
 พระผู้เป็นเจ้าได้ถามชายหนุ่มว่า
 “เจ้ายอมที่จะแลกพรนี้ด้วยชีวิตของเจ้าไหม”
 ชายหนุ่มตอบโดยไม่ลังเลว่า “ ผมยอมครับ”
 พระผู้เป็นเจ้าพูดว่า “งั้นดีฉันจะให้คนรักของเจ้าฟื้นขึ้นมา
 แต่เจ้าต้องแลกกับการกลายเป็นแมลงปอเป็นเวลา 3 ปี เจ้าจะตกลงยอมไหม”
 ชายหนุ่มได้ฟังดังนั้น แต่ก็ยังคงยืนยันคำตอบเดิม “ผมยอมครับ”
 
 ฟ้าสางแล้ว
 ชายหนุ่มได้กลายเป็นแมลงปอสวยงามตัวหนึ่ง
 เขาบอกลาพระผู้เป็นเจ้าแล้วรีบบินกลับไปที่โรงพยาบาล
 หญิงสาวฟื้นขึ้นมาแล้วจริงๆ
 มีนายแพทย์หนุ่มยืนอยู่ข้างๆ เธอ คุยเรื่องอะไรกันสักอย่างหนึ่ง
 แต่ช่างเสียดายที่เขาไม่สามารถที่จะได้ยิน..
 
 หลายวันผ่านไป
 หญิงสาวแข็งแรงพอที่จะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว
 แต่เธอดูไม่มีความสุขเลย เธอออกตระเวนหาข่าวคราวของชายหนุ่ม
 แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าชายหนุ่มหายไปอยู่ที่ไหน
 หญิงสาวยังไม่ละความพยายามที่จะตามหาชายคนรักของเธอ
 ชายหนุ่มซึ่งอยู่ในร่างของเจ้าแมลงปอได้(แต่)บินวนเวียนอยู่รอบตัวหญิงสาวไม่ห่าง
 (ทว่า)เขาไม่สามารถที่ส่งเสียง ไม่สามารถโอบกอด(เธอ)
 เขาทำได้แค่เพียงเฝ้ามองดูหญิงสาวไม่ให้คาดสายตาเท่านั้น
 
 ฤดูร้อนผ่านไปแล้ว
 ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดใบไม้ปลิวร่วงหล่นจากต้นไม้ใหญ่
 เจ้าแมลงปอจำต้องจากที่นี่ไปแล้ว
 นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้บินมาเกาะที่บ่าของหญิงสาว
 เขาอยากใช้ปีกของเขาลูบใบหน้าของหญิงสาว
 อยากใช้ปากเล็กๆ จูบที่หน้าผาก
 แต่อย่างไรก็ดีร่างเล็กบอบบางในคราบของแมลงปอ
 ก็ไม่สามารถเรียกร้องความสนใจจากหญิงสาวได้
 
 แค่พริบตา ฤดูใบไม้ผลิก็มาเยือน
 เจ้าแมลงปอรีบบินกลับมาหาคนรักของเขา
 เพื่อจะพบว่าร่างอันคุ้นตานั้น บัดนี้ได้ยืนเคียงคู่อยู่กับชายรูปร่างสันทัดคนหนึ่ง
 ภาพๆ นั้นทำให้เจ้าแมลงปอเกือบจะบินตกลงมาจากอากาศเลยทีเดียว
 ชาวบ้านต่างกล่าวขานถึงเรื่องอุบัติเหตุที่ทำให้หญิงสาวได้รับบาดเจ็บสาหัส
 ทำให้ได้พบกับแพทย์หนุ่มที่น่ารัก และ ใจดี คนนั้น
 และยังกล่าวถึงความรักของคนทั้งคู่ที่เหมือนถูกกำหนดมาอย่างไรอย่างนั้น
 แน่นอนพวกเขายังคงพูดถึงหญิงสาวที่สดใสร่าเริงขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากมายนัก
 เจ้าแมลงปอรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก
 
 หลังจากนั้นไม่กี่วัน
 แมลงปอเห็นแพทย์หนุ่มผู้นั้นพาคนรักของตนไปชายทะเลเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น
 พลบค่ำก็อยู่(ที่)ชายหาดเพื่อดูพระอาทิตย์ตก
 
 แต่สำหรับเขาแล้ว นอกจากบินมาเกาะที่บ่าของหญิงสาวแล้ว
 เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย
 หน้าร้อนของปีนี้ช่างยาวนานนัก
เจ้าแมลงปอบินต่ำลงๆ ทุกวันด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวด
 เขาไม่มีเรี่ยวแรงเพียงพอที่จะบินเข้าใกล้ หญิงอันเป็นที่รัก
 ท่าทางการพูดคุยกันอย่างสนิทสนมของคนทั้งคู่ เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของทั้งคู่
 ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งนัก
 
 ย่างเข้าฤดูร้อนของปีที่ 3
 เจ้าแมลงปอไม่ค่อยไปเฝ้าดูคนรักของเขาแล้ว
บ่าของเธอบัดนี้ถูกโอบกอดด้วยมือของแพทย์หนุ่ม
 ใบหน้าถูกประทับจูบอย่างเบาๆ จากเขาผู้นั้น
 ดูท่าทางแล้วไม่มีทางเลยที่หญิงสาวจะมีเวลาที่จะไปคิดถึงแมลงปอที่เจ็บปวดตัวหนึ่ง
ยิ่งไม่มีทางที่จะไปคิดถึงอดีตสิ่งที่ผ่านไป
วันครบรอบปีที่ 3 ที่พระผู้เป็นกำหนดไว้ใกล้มาถึงแล้ว
 คนรักของเจ้าแมลงปอกับนายแพทย์หนุ่มได้จัดพิธีแต่งงานขึ้นในวันสุดท้ายนั้นเอง
 เจ้าแมลงปอค่อยๆ บินเข้าไปในโบสถ์ และไปเกาะที่บ่าของพระผู้เป็นเจ้า
 เขาได้ยินเสียงของคนรักที่ดังมาจากข้างล่างตอบรับคำสาบานของพระผู้เป็นเจ้าว่า
 “ฉันยอมรับ”
 เขาเห็นแพทย์หนุ่มคนนั้นสวมแหวนให้คนรักของเขา
 ตามด้วยจุมพิตที่แสนหวานของคนทั้งคู่
 เจ้าแมลงปอปล่อยให้น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลออกมา
 พระผู้เป็นเจ้าถามแมลงปอว่า “เจ้ารู้สึกเสียใจไหม”
 เจ้าแมลงปอเช็ดน้ำตาแล้วตอบว่า “เปล่า”
 พระผู้เป็นเจ้าถอนหายใจแล้วพูดต่อว่า
 “งั้นพรุ่งนี้เจ้าก็ได้กลับเป็นเจ้าคนเดิมแล้ว”
 เจ้าแมลงปอส่ายหน้าอย่างช้าๆ ก่อนตอบว่า
 “ขอผมเป็นแมลงปออย่างนี้ไปตลอดชีวิตเถอะครับ”
บางบุพเพ(ชะตา) ถูกกำหนดมาเพื่อที่ต้องสูญเสียไป
 บางบุพเพ ตอนจบไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด
 รักคน ๆ หนึ่ง ไม่จำเป็นต้องได้รับรักตอบ แต่
 เมื่อได้รับรักจากใครคนหนึ่งเราต้องดูแลรักษามันไว้อย่างดี
 
 บนบ่าของคุณมีแมลงปอไหม.....

นิทานเรื่องนายแมลงปออาจสอนอะไรโง่ๆ หรืออาจเป็นเรื่องที่สูงส่งกว่าความรักของปุตุชนที่ไม่ใคร่และไม่ต้องการครอบครอง แต่เชื่อผมสิความรักมันก็เรื่องโง่ๆล่ะ รักมากก็โง่มาก ผมเคยเป็นมาล่ะ ยืนยันว่าเรื่องจริง ต่อให้เป็น ศ.ดร.นพ. ตกอยู่ในห้วงรัก มันก็โง่รับประทานทั้งนั้น พุทธองค์จึงสอนว่า "รัก" นั้นเป็นกิเลส ที่ทำให้ "โง่" คนมีรักเป็นอารมณ์ จะเสวยชาติเป็น "สัตว์เดรัจฉาน" ซึ่งก็ไม่ระบุว่าตัวอะไร รักน้อยหน่อยอาจเป็นลิง รักมากหน่อยอาจเป็นไส้เดือนกิ้งกือ ทำนองนั้น ผู้มีความรักทั้งหลายจึงควรสำรวจตนเองบ้างนะ ว่าตอนนี้เสวยชาติเป็นตัวอะไร ตอนผมรักขึ้นสมอง ตอนนั้นรู้สึกจะเกิดเป็นแมงเม่านะ เพราะรู้สึกจะชอบบินเข้ากองไฟ

รู้จึกแมงปอปีกบางในบทกวีฐานะผู้รับฝากความรักไปกับสายลมก็แล้ว มนุษย์แมงปอที่ทำอะไรได้ทุกอย่างเพื่อความรักแล้ว มารู้จักแมลงปอจริงไกันสักนิดนะครับ แมลงปอในโลกนี้มีอยู่มากกว่า 5,000 ชนิด 500 สกุล สามารถแบ่งแมลงปอออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ โดยดูจากลักษณะของเส้นปีก รูปร่างปีก และลักษณะการวางปีกขณะเกาะอยู่ โดยแบ่งเป็น 1. กลุ่มแมลงปอบ้าน มีลักษณะตัวใหญ่ สีเข้ม หัวโต ตากว้างแต่ไม่โปน ปีกคู่หลังใหญ่กว่าปีกคู่หน้า เวลาเกาะจะกางปีกในแนวราบ 2. กลุ่มแมลงปอเข็ม มีตัวเล็ก ตาโปน ปีกคู่หลังมีขนาดเท่ากับปีกคู่หน้า เวลาเกาะจะหุบปีก ในประเทศไทยมีการค้นพบแมลงปอมากกว่า 295 ชนิด แมงปอ มีวงจรชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในน้ำ อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำจืดทั่วไป กินลูกน้ำ สัตว์น้ำเล็ก ๆ และลูกอ๊อดเป็นอาหาร บางครั้งก็กินพวกเดียวกันเอง บางสายพันธุ์กินพืช ตัวอ่อนแมลงปอใช้ชีวิตนาน 1-3 ปีเมื่อถึงวัยหนึ่ง จะขึ้นมาลอกคราบ กลายเป็นแมงปอตัวเต็มวัยเพื่อการขยายพันธุ์ แมลงปอจะนอนพักตอนกลางคืน และมักผึ่งปีกตากแตดตอนเช้าๆ จึงเป็นช่วงเวลาที่จะได้ไกล้ชิดกับแมลงปอมากที่สุด เมื่อปีกแห้งสนิทจึงโบยบินหาอาหารและล่าเหยื่อ โดนจะวางไข่ในช่วงเดือน มิ.ย. ก.ค. วางไข่ตามแอ่งน้ำ แล้วก็สิ้นอายุขัยไปในที่สุด แมลงปอเป็นสัตว์ที่ได้ชื่อว่าเป็นแมลงนักล่าที่ยิ่งใหญ่ชนิดหนึ่ง และมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อาหาร และยังเป็นผู้ควบคุมแมลงศตรูพืชตัวสำคัญ รวมถึงช่วยกำจัดยุงด้วยเช่นกัน

แมลงปอบ้านไร่ลายเลือน (Rhyothemi s obsolesce ns Kirby)

แมลงปอตัวที่ผมถ่ายภาพมาให้ชมชื่อว่า "แมลงปอบ้านไร่ลายเลือน (Rhyothemi s obsolesce ns Kirby)" เห็นมันบินล้อลมอยู่นาน ก็เลยหยิบกล้องมาลองถ่ายดู ขอบอกว่า การถ่ายภาพแมลงตัวเล็กๆที่กำลังบินอยู่นั้น ยากมากถึงยากที่สุด ซึ่งนอกจากมันขยับและเคลื่อนที่อย่างรวเร็วตลอดเวลาและมีขยาดเล็กจนถ่ายภาพไม่ชัด แล้วการหมุนกล้องและปรับโฟกันตามหาตัวมันก็ยากเย็นแสนเข็นสุดๆไปเลย กว่าจะถ่ายภาพได้หน้ามืดเลยครับ

แมลงปอบ้านไร่ปีกทองเปื้อน (Rhyothemi s variegata variegata)

ที่คล้ายๆกันมาก อีกชนิดที่ถ่ายได้คือ แมลงปอบ้านไร่ปีกทองเปื้อน (Rhyothemi s variegata variegata) สองชนิดนี้เหมือนกันมากครับ เหมือนตัวผู้กับตัวเมีย แต่จริงๆคนละชนิดกัน ถ่ายมาได้ภาพเดียว เพราะว่ามันบินต่ำมากเลย เวลาถ่ายภาพมันก็จะไปจับโพกัสที่พื้นหมด สองตัวนี้ล้อลมเล่นคู่กันด้วย แต่จับภาพมาไม่ได้เลย น่าเสียดาย

แมงปอบ้านไร่ตัวนี้ล้อลมอยู่บ้านผมสี่ห้าวันแล้ว ก็ไม่รู้ว่ามันไปรับฝากความรักของใครมาถึงผมรึเปล่า เพราะความรักอาจลอยลมมากับแมลงปอแบบบทกวีวัยรุ่นที่ผมหยิบยกมา หรือจะเป็นคนรักที่กลายร่างมาเกาะบนบ่าเหมือนนิทานแมลงปอ แต่อย่างไรเสีย ก็อย่าลืมคำโบราณที่ว่า "ความรักทำให้คนตาบอด" นะครับ หรือใครที่กำลังมีความรักและอยากจะรักษามันไว้ตราบนิรันดร์ ขอบอกว่าน้ำต้มผักส่วนใหญ่ไม่หวาน คุณอาจกินแล้วหวาน แต่วันหนึ่งคุณจะรู้ได้เองว่ามันขมจริงๆ คุณต้องสำเหนียกสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา คุณจึงจะรักษามันเอาไว้ได้ แต่ก็อย่าลืมว่าคู่แต่งงานมากกว่า 70% จบลงด้วยการหย่าร้าง ฉะนั้น ถ้าคุณผิดหวังในความรัก ก็อย่าคิดมาก เพราะคุณเป็นคนธรรมดาๆ 7 ในสิบคน ไม่ใช่คนประหลาด 3 ในสิบที่เหลือ อย่าคิดมากเรื่องความรัก เพราะความรัก คำนี้ไม่เคยมีเหตุผล และไม่มีคำจำกัดความ แต่ก็ไม่ใช่ไม่คิดอะไรเลย เพราะนั่นเขาเรียกว่า "คนโง่"

 
หมายเลขบันทึก: 480946เขียนเมื่อ 4 มีนาคม 2012 10:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 กรกฎาคม 2012 14:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

^___^ ถ่ายภาพแมลงปอได้ขัดเจนค่ะ เคยคิดจะถ่ายแต่อดทนไม่พอ

วิถีชีวิตมนุษย์ที่หลากหลายเพศยังผันแปรตามจิตสภาวะ...ทุกสรรพสิ่งต่างคงเช่นกัน..

นิทานแมงปอผู้ใหญ่....อาจสอนว่า ความรักที่ยิ่งใหญ่รักคือการให้....โดยไม่หวังผลตอบแทน

เพลงเพราะ.....ความรักครื้นเครงดีนะคะ  แม้ว่าจะพัดผ่านไปแล้ว  หรือรู้ตามทีหลัง (ความรู้สึกช้าไปหน่อย)

เหลือไว้แต่ความเข้าใจชีวิต

โห....ปวดคอ  ปวดตา  ปวดแขนมากไหมเนี่ย...มีสาวชุดไทยมานวดให้ยัง

แมงปอปีกบาง

เจ้ากางปีกสวย

ฝากบอกเค้าด้วย

คิดถึงเค้าจัง

พบคนร่วมสมัยกับเราแล้ว สมัยเป็นเด็กจดเอาไว้อยู่

ภาพแมลงปอและข้อความคมมากเลยครับ

สวัสดีค่ะ บันทึกนี้ชวนให้นึกถึงช่วงเวลาหน้าแล้งในวัยเด็ก

ยังไม่เคยถ่ายรูปแมงปอตอนเขาบินได้เลยค่ะ แจ่มจริงๆ ต้องลองดูบ้างหากเจอเขาล้อลมอยู่

ขอบคุณค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท